การเมืองเรื่องสตรี ขัตติยนารีกับพื้นที่แห่งอำนาจ

พระนางจิรประภามหาเทวี จากภาพยนตร์เรื่องสุริโยไท

หมายเหตุ: บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 15 ก.ค. 2554

สองขัตติยนารีล้านนา
นอมินี ร่างทรง ญาติกาธิปไตย?

ถามว่านอกเหนือจากพระนางจามเทวีแล้ว ในประเทศไทยยังมีกษัตริย์หญิงขึ้นปกครองแว่นแคว้นแดนใดอีกบ้างไหม หากเคยมี ทำไมคนไทยจึงไม่รู้จัก

น่าเศร้าใจที่คนไทยส่วนใหญ่ถูกบังคับให้เรียนแค่ประวัติศาสตร์ของกรุงสุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์ ไม่รู้จักแม้กระทั่งข้อเท็จจริงในสมัยกรุงธนบุรีด้วยซ้ำ มิพักต้องไปพูดถึงรัฐละโว้ ศรีเทพ ตามพรลิงค์ หรือล้านนา ซึ่งแต่ละรัฐต่างมีความเป็นอิสระไม่ขึ้นตรงต่อสยาม มีกษัตริย์เป็นของตนเอง และแน่นอนบางรัฐย่อมมีกษัตริย์หญิง!

ในที่นี้จะขอกล่าวถึงสองขัตติยนารีที่ก้าวสู่บัลลังก์สูงสุดแห่งรัฐล้านนา

องค์แรกคือ “พระมหาเทวีจิรประภา” กษัตรีย์ผู้ถูกนำเสนอในภาพยนตร์เรื่อง “สุริโยไท” ด้วยการสร้างภาพให้เป็นพระนางยั่วสวาท เซ็กซี่ โปรยเสน่ห์ และเจ้าเล่ห์แสนกล ผู้สามารถทำให้พระไชยราชาแห่งกรุงศรีอยุธยาแทบกระอักอกแตกตาย พ่ายรักและพ่ายทัพ

หรือก่อนหน้านั้น ยุคพลตรีหลวงวิจิตร-วาทการเคยสร้างละครร้อง ก็ยัดเยียดบทให้พระนางจิรประภา ฐานะชาวเชียงใหม่ยอมโอนอ่อนต่อชาวอยุธยาเหตุเพราะมีสำนึกในเรื่องเชื้อชาติไทยเหมือนกัน เพื่อรับใช้ความคิดแบบราชาชาตินิยมของตน ทั้งๆ ที่ในสมัยของพระมหาเทวีนั้นไม่เคยมีจิตสำนึกเรื่อง “การรักความเป็นไทย”

ท่านมุ้ยก็ดี หลวงวิจิตรฯ ก็ดี นำเสนอภาพของพระนางจิรประภา ในมุมมองที่แทบจะไม่มีผลต่อการรับรู้ชีวิตที่แท้จริงของพระนางเท่าใดนัก เพราะวัตถุประสงค์ของนักทำหนังทำละครเหล่านั้นต้องการเชิดชูเฉพาะวีรสตรีของกรุงศรีอยุธยา เรื่องราวของพระมหาเทวีจิรประภาจึงกลายเป็นเพียงผงชูรส

ตกลงแล้วพระมหาเทวีจิรประภาคือใคร เป็นกษัตริย์ล้านนาองค์ที่เท่าไหร่ สร้างวีรกรรมอะไรโดดเด่นบ้าง ดูเหมือนคำถามเหล่านี้ไม่อยู่ในความสนใจของผู้คนเท่ากับคำถามที่ว่า พระนางขึ้นครองราชย์ได้อย่างไร ใครอยู่เบื้องหลัง ครองราชย์ถึงหนึ่งปีไหม

ทำไมต้องฉลองพระองค์ “กล่องนมตาข่ายโปร่ง”?

ไม่มีหลักฐานระบุแน่ชัดถึงปีที่พระมหาเทวีจิรประภาทรงประสูติ แต่สันนิษฐานว่าน่าจะอยู่ระหว่างปี พ.ศ.2042 หรือ 2043 พระนางเป็นพระมเหสีของพระเมืองเกษเกล้า หรืออีกนามคือพระญาเกสเชษฐราช กษัตริย์ล้านนาลำดับที่ 12

อ้าว! เป็นพระมเหสีดอกรึ ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ใช่กษัตรีย์น่ะซี ไม่เห็นจะต่างอะไรกับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ (มเหสีของพระมหาธรรมราชาที่ 2 แห่งสุโขทัย) หรือสมเด็จพระสุริโยทัย แต่อย่างใดเลย

ย้ำ! เป็นทั้งพระมเหสีของกษัตริย์ล้านนา สถานะหนึ่ง ในช่วงที่พระราชสวามีทรงมีพระชนม์ชีพ แต่ก็ทรงเป็นกษัตรีย์อีกสถานะหนึ่ง ภายหลังจากที่พระเมืองเกษเกล้าทรงสวรรคตแล้ว

จะเรียกว่าเข้ามาขัดตาทัพอีกรายก็ใช่ และไม่ตะขิดตะขวงใจที่จะบอกว่านั่งเมืองแค่เพียงปีเดียวช่วงสั้นๆ คือ พ.ศ.2088-2089 ช่วงนั้นทรงมีพระชนมายุกำลังเหมาะคือวัย 45-46

แม้จะครองราชย์เพียง 1 ปี แต่ก็เป็นปีเดียวที่ชาวล้านนาต้องจารึก เพราะขัตติยนารีท่านนี้ต้องแบกรับภาระศึกเหนือเสือใต้ เกิดการแย่งชิงอำนาจทั้งจากภายในและภายนอก ต้องประคับประคองรัฐล้านนาอันเปราะบาง ศึกภายในราชสำนักนั้นเกิดจากการแบ่งเป็นก๊กเล็กก๊กน้อยของเหล่าอำมาตย์ กษัตริย์อ่อนแอจึงถูกลอบปลงพระชนม์ซ้อนกันถึงสองพระองค์

ขุนนางแต่ละกลุ่มต่างชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้าน กลุ่มแรกไปสะกิดให้พระไชยราชาแห่งกรุงศรีอยุธยามาชิมลางขู่ขวัญ ด้วยแสนยานุภาพของกองทัพสมัยใหม่พร้อมทหารรับจ้างโปรตุเกส แต่พระมหาเทวีจิรประภาก็รับมือไว้ได้ ด้วยมิตรภาพอันนุ่มนวลแบบสาวเหนือเชือดนิ่มๆ จนทำให้พระไชยราชาต้องถอยทัพกลับไป

ขุนนางกลุ่มที่สอง ก็แอบไปปรองดองกับล้านช้าง โชคดีที่ฝ่ายนี้เป็นญาติโกโหติกากับพระมหาเทวี ซึ่งมีฐานะเป็น “ลูกเขย” กับ “หลานยาย” องค์หนึ่งคือพระเจ้าโพธิสาลราช (ทรงอภิเษกสมรสกับพระนางยอดคำทิพย์ ผู้เป็นพระธิดาของพระเมืองเกษเกล้าและพระมหาเทวีจิรประภา) ส่วนอีกองค์เป็นพระราชปนัดดาของพระนาง “พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช” (กษัตริย์สองแผ่นดิน ล้านช้าง-ล้านนา) ฝ่ายล้านช้างนี้ก็ใช่ย่อย ยาตราทัพมาถึงกลางพระราชวังหลวงแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง หมายปองที่จะรวมล้านนาเข้ากับล้านช้างอยู่เต็มกลืน

ขุนนางกลุ่มที่สาม ไปดึงเอาข้าศึกชาว “ไต” หรือ “เงี้ยว” จากรัฐฉาน เมืองนาย เมืองยองห้วย กลุ่มนี้เมื่อเห็นกษัตริย์เป็นสตรีคงอยากเข้ามาลองของ นึกว่าจะยึดล้านนาได้ง่ายๆ ปรากฏว่าพระมหาเทวีได้ “จัดหนัก” ให้ชาวไตต้องล่าถอยกองทัพกลับอย่างหน้าแตกหน้าแตน

น้อยคนนักที่จะมีใครรับรู้ถึงวีรกรรมในการปกป้องล้านนาประเทศของพระมหาเทวีจิรประภา ผู้คนมักจดจำแต่ว่ามีอาเพศร้ายเกิดแผ่นดินไหว ในยุคที่แม่ญิงผู้ไร้บารมีครองเมือง รุนแรงจนยอดพระเจดีย์หลวงหักโค่น จวบปัจจุบันก็ยังมิได้มีการสร้างเสริมส่วนยอด

หลายคนมองว่า บทบาทของพระนางไม่ต่างไปจากผู้สำเร็จราชการแผ่นดินให้กับยุวกษัตริย์ หลานยาย พระเจ้าไชยเชษฐาวัย 12 ขวบแต่อย่างใด

บางคนมองว่า หากพระมหาเทวีมิได้ทรงเป็นพระมเหสีของพระเมืองเกษเกล้ามาก่อน โอกาสที่จะได้ครองราชย์นั้นแทบเป็นศูนย์

 

หันมามองนางพญาแห่งล้านนาอีกองค์หนึ่ง นาม “พระนางวิสุทธิเทวี” เป็นกษัตริย์องค์สุดท้าย ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ.2107-2121 ก่อนที่พม่าจะเข้ามาปกครองล้านนาเต็มรูปแบบ ถือเป็นรัฐล้านนาในยุคใต้ร่มเงาของหงสาวดี

พระนางวิสุทธิเทวีเป็นราชนิกุลองค์หนึ่งในราชสำนักล้านนา ทรงมีพระสิริโฉมงดงามเข้าตาผู้ชนะสิบทิศ ในช่วงที่บุกยึดเชียงใหม่ได้ พระนางจำต้องตกเป็นอัครชายาองค์หนึ่งของพระเจ้าบุเรงนอง ทรงมีพระราชโอรสด้วยกันพระนามว่า “มังทรา” หรือ “มังนรธาช่อ” ผู้ที่นักภาษายกย่องให้เป็นกวีเอก สามารถเขียนบทโคลงได้พริ้งพราย และเป็นกษัตริย์ลูกครึ่งพม่า-ล้านนาองค์แรกที่เข้ามาปกครองเชียงใหม่อย่างเป็นทางการในฐานะรัฐประเทศราช ภายหลังจากที่พระราชมารดาสิ้นพระชนม์

ถ้าเช่นนั้นสถานะของพระนางวิสุทธิเทวีจะมีความหมายอะไรมากไปกว่า “จอมนางเชลยรัก” การที่พระนางได้มาซึ่งพื้นที่แห่งอำนาจนั้น เพราะฐานะที่ยืนอยู่เป็น “หนึ่งในทำเนียบพระมเหสี” ของพระเจ้าบุเรงนองแค่นั้นหรือ?

คำถามทำนองนี้ คือการดูแคลนกษัตริย์หญิงว่าไม่อาจขึ้นนั่งเมืองด้วยความสามารถเฉพาะตัวของตนเองได้ หากปราศจากเบื้องหลังสายสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับกษัตริย์องค์ใดองค์หนึ่ง หากไม่เป็น “เมีย” ก็ต้องเป็น “แม่” “ย่า” “ยาย” “ป้า” “พี่สาว” หรือ “น้องสาว”

เรียกภาษาสมัยใหม่ก็คือ “ร่างทรง” “โคลนนิ่ง” หรือ “นอมินี” นั่นเอง

ก็คงไม่อาจปฏิเสธว่า ขัตติยนารี แห่งอุษาคเนย์ทั้งในอดีตจวบปัจจุบันที่สามารถก้าวขึ้นสู่อำนาจนั้น มิได้มาจากระบอบ “ญาติกาธิปไตย”

ไม่เพียงแต่พระมหาเทวีจิรประภาหรือพระนางวิสุทธิเทวีเท่านั้น หากในยุคสมัยของเรา ผู้หญิงที่สถานการณ์ชักนำให้มาเดินคลุกฝุ่นบนถนนการเมืองนั้น ไม่น้อยเลยที่สืบสายมาจากความเป็นทายาทของบุรุษ ไม่ว่า นางอินทิรา คานธี นางออง ซาน ซูจี นางสิริมาโว บันรานัยเก นางซูการ์โน หรือ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ระบอบ “ญาติกาธิปไตย” อาจเป็นแค่เพียงบันไดก้าวแรกของการเปิดพื้นที่ ผลักให้ผู้หญิงได้เข้ามาอยู่ในวังวนของอำนาจ ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ธรรมนูญอันบิดเบี้ยวที่สถาปนาโดยเงื้อมมือที่มองไม่เห็นของผู้ชาย (เทียม) ในระบอบ “ปิตาธิปไตย” (ปิดตาธิปไตย) เพียงไม่กี่คน

แต่นี่คือการเปิดศักราชใหม่แห่งความเปลี่ยนแปลง “พื้นที่แห่งอำนาจ” ในการเมืองไทย ชนิดถอนรากกระชากโคนแล้ว!

ประจักษ์พยานแห่งการต่อสู้ของผู้หญิงกลุ่มสุดท้ายในทุ่งสังหารที่ราชประสงค์และวัดปทุมวนาราม กลุ่มแม่บ้าน หลานสาว ย่ายายจากยอดดอยภาคเหนือถึงที่ราบสูงอีสาน ที่ยืนหยัดต่อสู้ทนเจ็บและยอมตายต้านระบอบ “อภิชนาธิปไตย” ด้วยอุดมการณ์แบบ “ประชาธิปไตยรากหญ้า” คือการทวงคืนพื้นที่ใหม่ในสังคมของ “แม่มด” ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์สยาม