เผยแพร่ |
---|
หมายเหตุ : บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 7-13 ตุลาคม 2537 และเผยแพร่ซ้ำในเว็บไซต์ www.2519.net
เช้าตรู่ของวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ส.ต.ท.สมศักดิ์ วงศ์พรหม ตัดสินใจเข้าไปปลุกผมถึงที่นอนในแฟลตของ กก.2 กองปราบปราม ซอยโชคชัย 4 ลาดพร้าว
“สารวัตร…จะยิงกันแล้ว !” เขารายงานสั้นๆ
ผมกระโดดผลุงออกจากเตียง สมองอึงอลไปด้วยคำถาม ขณะรีบสวมเครื่องแบบ “เป็นอย่างงั้นได้ไง ?”
เมื่อรถวิทยุทะยานออกจากที่ตั้งจะออกสู่ถนนลาดพร้าว มีเสียงวิทยุข่ายสามยอดทบทวนคำสั่ง อ.ตร. ที่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้อาวุธปืนได้ตามความจำเป็น เสียงวิทยุย้ำแล้วย้ำอีกถึงการบาดเจ็บจากกระสุนปืนของนายตำรวจกองปราบปราม
ส.ต.ท.สมศักดิ์ถามว่าจะไปไหน
“ไปพบท่านอธิบดี !”
ผมหมายถึง พล.ต.อ.ศรีสุข มหินทรเทพ ผมอยากจะไปเรียนให้ท่านทราบว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา การชุมนุมในธรรมศาสตร์เป็นไปอย่างสงบ ไม่มีวี่แววว่าจะเกิดความรุนแรงตามที่เสียงยานเกราะรายงาน โดยเฉพาะในคืนวันที่ 5 นั้น ส.ต.ท.สมศักดิ์อยู่ในมหาวิทยาลัยเกือบตลอดคืน
ท่าน อ.ตร.ให้ความเมตตาผมอยู่แล้วเป็นพิเศษ เพราะท่านเป็นนักอ่านและนักเขียนคนหนึ่ง และเรียกตัวเองว่า “ครู” เมื่อพูดกับผม ผมจึงอดที่จะหวังไม่ได้ว่าท่านอาจจะพิจารณาทบทวนคำสั่งใช้อาวุธ
แต่ตลอดทางที่รถแล่นไปนั้น สามยอดได้ถ่ายทอดเสียงอาวุธปืนสลับกับรายงานเหตุการณ์
…สายเสียแล้ว ผมจึงเปลี่ยนใจ
“ไปธรรมศาสตร์”
เมื่อรถไปถึงสนามหลวง ภาพรอบตัวที่เห็นเป็นภาพแห่งความชุลมุนอย่างแท้จริง มันยิ่งกว่าสงครามเพราะแทบจะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร และใครอยู่ฝ่ายไหน !
เราสังเกตเห็นว่าสนามหลวงทางด้านศาลมีควันไฟและมีเสียงโห่ร้องจากฝูงชนบ้าคลั่ง
เรารู้โดยอัตโนมัติว่าอะไรเกิดขึ้นตรงจุดนั้น จึงเปิดสัญญาณไฟวับวาบและเสียงไซเรนขอทางเพื่อเข้าไปทำหน้าที่ของตำรวจ แต่ไม่สามารถเข้าไปได้ ภาพที่เห็นวับแวมผ่านกลุ่มคนบอกให้เรารู้อีกว่า-สายเสียแล้วเช่นกัน
ส.ต.ท.สมศักดิ์ ถอยรถฝ่าฝูงชนด้วยความลำบากเพื่อไปยังฝั่งธรรมศาสตร์ ในวินาทีนั้นผมยังเข้าใจผิดว่าเหตุการณ์น่าจะยุติลงได้ ต่อเมื่อลงจากรถวิ่งฝ่าเสียงปืนเข้าไปที่หอประชุมนั่นแหละถึงได้ตระหนักในความเป็นจริง
ผมพบ พล.ต.ต.วิเชียร แสงแก้ว ผู้บังคับการกองปราบปราม กับกำลังตำรวจจำนวนหนึ่งที่ระเบียงด้านหน้าหอประชุม เมื่อเสียงปืน ค. ของ ตชด.คำรามขึ้นทีไร กระจกหอประชุมจะแตกหล่นกราวลงมาใส่ท่าน ทีนั้นผมภูมิใจมากที่มีโอกาสได้นอนทับตัวท่านเพื่อบังเศษกระจกไว้
ผมขอให้ท่านสั่งหยุดยิง
“ผมสั่งแล้ว !” ท่านตอบทันที “มนัส คุณวิ่งไปบอกด้วยตัวเองอีกที”
ผมวิ่งไปยังกลุ่มตำรวจตระเวนชายแดน 4-5 นายที่ดูเหมือนจะบันเทิงอยู่กับอาวุธปืน ค. ซึ่งปลายลำกล้องชี้ไปทางอาคารฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ผมบอกว่าผู้บังคับการกองปราบสั่งให้หยุดยิง
“กระสุนดัมมี่ครับ ไม่ใช่กระสุนจริง” พวกเขาไม่ฟังเสียง หันไปทางปืน และเสียงปืนก็คำรามขึ้นอีก
ผมย้ำอีกครั้ง “ผู้การสั่งให้หยุดยิง !”
สิ้นเสียงผมเสียงปืนสนั่นในทันที ! เราต่อปากต่อคำกันไม่นานผมก็ถอย พวกเขาเป็นตำรวจชั้นผู้น้อย อ้างว่าผู้บังคับบัญชาของเขาสั่งให้ยิง ยศ พ.ต.ต.ของผม กับคำสั่งของ พล.ต.ต.นอกหน่วยไม่มีความหมายสำหรับพวกเขา
ผมวิ่งกลับมาที่ระเบียงหอประชุม ถึงไม่รายงานท่านผู้การก็รู้ว่าสภาพของเหตุการณ์มันถึงขั้นอยู่เหนือการควบคุมไปแล้ว การปฏิบัติการต่างๆ กลายเป็นเรื่องส่วนตัวไปเสียแล้ว เหตุการณ์ต่อจากนั้นผมยากจะลำดับก่อนหลัง แต่ก็ยังจำภาพบางภาพได้ราวกับผนังกะโหลกของผมเป็นฟิล์มภาพยนตร์
หน้าหอประชุมฝั่งโรงละครแห่งชาติใกล้ประตูทางออก ชายร่างผอมบางคนหนึ่งกำลังถูกรุมกระทืบจากกลุ่มคนราว 4-5 คน คนหนึ่งในนั้นมีสัญลักษณ์บอกให้รู้ว่าเป็นลูกเสือชาวบ้าน
ผมไม่อาจจะทราบเหตุผลที่มาที่ไปได้ แต่เมื่อมีชายคนหนึ่งถือมีดเฉือนเนื้อปลายแหลมขนาดใหญ่ตรงรี่เข้ามา ผมเข้าไปคร่อมร่างชายเคราะห์ร้ายไว้
“อย่านะ ! ถ้าทำอะไรเขาก็โดนผม !” ผมร้องห้าม ผมไม่ยอมให้ใครถูกฆ่าต่อหน้าผมแน่ๆ ซึ่งก็ได้ผลเพราะมีบางคนช่วยห้ามด้วย ผมเรียกตำรวจที่อยู่ในบริเวณนั้นกันตัวเขาออกไปจากที่เกิดเหตุ
ชายคนนั้นบอกผมว่าเขาไม่ได้เป็นนักศึกษา เขาเป็นเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งและมาดูเหตุการณ์เท่านั้น
ตำรวจที่อยู่รอบนอกทั้งทางฝั่งสนามหลวงและฝั่งท่าพระจันทร์ ไม่มีใครเป็นผู้บังคับบัญชาใคร พวกเขาใช้อาวุธปืนประจำตัวยิงเข้าไปในมหาวิทยาลัยโดยไม่ได้หวังผลอะไรมากไปกว่าสร้างความพอใจให้แก่ตัวเอง หรือแก่กลุ่มคนที่ไม่ใช่นักศึกษา ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้าน หรือนวพล ลูกเสือชาวบ้าน หรือตำรวจทหารนอกเครื่องแบบ ซึ่งผมอยากจะเรียกรวมว่าเป็น “ฝ่ายขวา” ด้วยว่าเขาเรียกผู้ที่อยู่ตรงข้ามกับเขาว่า “ฝ่ายซ้าย” พวกเขาเหล่านี้จะยิงสุ่มส่งเดชเข้าไปทุกครั้งที่ได้ยินเสียงปืนดังมาจากภายในมหาวิทยาลัย
ผมพยายามร้องห้ามเท่าที่จะทำได้ด้วยความหัวเสีย เพราะกระสุนนัดหนึ่งเฉี่ยวหัวผมไป แต่ก็ห้ามได้เฉพาะตำรวจกองปราบปรามในบังคับบัญชาของผมเท่านั้น
มีอยู่ครั้งหนึ่งตำรวจทางฝั่งท่าพระจันทร์ลั่นกระสุนปืนเล็กกลเข้าใส่กำแพงวัดโดยไม่ตั้งใจ ผมเข้าไปกระซิบด่าด้วยความอับอาย พร้อมกับบุ้ยใบ้ชี้ให้เขาเห็นว่าทางฝั่งกำแพงวัดนั้น พ.ต.อ.ประทิน สันติประภพ รองผู้บังคับการกองปราบปราม ยืนผงาดอยู่กลางประชาชนที่ล้มลุกคลุกคลานหลบกระสุนปืน
โชคดีที่กระสุนไม่โดนใคร ตอนนั้นเรารับรายงานทาง ว. ว่าพบศพหลายศพแล้ว มากเกินพอสำหรับเหตุการณ์ขัดแย้งกันในหมู่คนไทยด้วยกันเองด้วยสาเหตุต่อต้านการกลับมาของจอมพลถนอม กิตติขจร ในชุดสีเหลืองของพระภิกษุ !
ผมไม่ทราบว่าใครเป็นคนตัดสินใจสั่งการให้ยอมรับ “ธงขาว” ของฝ่ายนักศึกษา ก่อนหน้านั้นธงขาวไม่มีความหมายต่อฝ่ายที่กระเหี้ยนกระหือรือจะชำระความแค้น พระสยามเทวาธิราชคงจะขอบใจท่านด้วย อย่างน้อยเราก็จะไม่สูญเสียยับเยินมากไปกว่านี้
ตำรวจเกณฑ์รถบัสมานำตัวนักศึกษาและผู้ร่วมชุมนุมไปควบคุมไว้ที่โรงเรียนตำรวจนครบาล บางเขน และที่โรงเรียนพลตำรวจนครปฐม ทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ให้นักศึกษานอนคว่ำหน้ากับพื้นเพื่อสะดวกในการควบคุม นักศึกษาชายต้องถอดเสื้อออกในลักษณะของเชลย จำนวนของนักศึกษาเชลยหลามล้นเต็มสนาม
เมื่อตำรวจควบคุมแถวนักศึกษามาขึ้นรถที่ฝั่งกำแพงวัดท่าพระจันทร์ ฝ่ายขวาฉวยโอกาสปฏิบัติการชำระความแค้นกับนักศึกษาอย่างป่าเถื่อนโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น พวกเขารุมกันสั่งให้คลาน บางคนระห่ำถึงขนาดจะให้นักศึกษาหญิงถอดเสื้อ
ผมไม่ได้เป็นผู้รับผิดชอบในหน้าที่ควบคุมตรงนี้ แต่ผมไม่ยอมให้พวกเขาสั่ง “ลุกขึ้นๆ ! …ไม่ต้องคลาน ! …เดินไปขึ้นรถ” ผมตะโกน
ชายฉกรรจ์คนหนึ่งมีกล้องถ่ายรูปพูดขึ้นว่า “นี่ถ้าเป็นในสนามรบตายไปแล้ว !”
มันคงหมายถึงผม เพราะมันมาดูป้ายชื่อที่หน้าอกของผม และถ่ายรูปไว้ด้วย
ผมสบตาและส่ายหน้าอย่างอ่อนอกอ่อนใจกับ สมพงษ์ สระกวี อดีตผู้นำนักศึกษายุค 14 ตุลาคม ซึ่งคงจะมาในฐานะนักสังเกตการณ์โดยมีกล้องถ่ายรูปเล็กๆ อยู่ในมือ
พ.ต.อ.ประทิน พยักหน้าให้ผมอย่างเห็นชอบในวิธีการปฏิบัติของผม ดังนั้นในเวลาต่อมาเมื่อท่านไปอำนวยการนำนักศึกษาขึ้นรถอยู่ในบริเวณสนามของมหาวิทยาลัย ท่านได้วิทยุเรียกตัวผมไปรับหน้าที่เป็นหัวหน้าควบคุมนำขบวนรถบัสบรรทุกผู้ชุมนุม 778 คนไปนครปฐม
ในบริเวณสนามของมหาวิทยาลัยก็เช่นเดียวกับที่ท่าพระจันทร์ ผมต้องตะโกนต้านคำสั่งให้คลานของกลุ่มคนฝ่ายขวาอย่างสุดกำลัง จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายคนเห็นพ้องกับผม และร่วมมือด้วยนั่นแหละ เราจึงสามารถสมานรอยแผลไม่ให้ชะเวิกชะวากมากไปกว่าที่ได้รับอยู่แล้ว
ผมใช้รถวิทยุโดยมี ส.ต.ท.สมศักดิ์ เป็นผู้ขับ นำขบวนรถบัสควบคุมนักศึกษา ผมจำไม่ได้ว่าในขบวนมีรถกี่คัน แต่จำยอดจำนวนนักศึกษาได้
เมื่อเราไปถึงลานฝึกโรงเรียนพลตำรวจนครปฐม ตำรวจหนุ่มนายหนึ่งร่างสั่นเทาเข้ามารายงานผมว่าเขายิงเชลยที่พยายามกระโดดหนีทางหน้าต่างรถถึงแก่ความตาย
“ไอ้นัส กูไม่รับคนตายนะ !” พ.ต.อ.ชอบ ภัตติชาติ ผู้กำกับการโรงเรียนพลฯ บอกผม
“ครับเฮีย เดี๋ยวผมจัดการเอง” ผมตอบ
ผมเดินตามตำรวจมือปืนไปยังรถคันที่เกิดเหตุ พบร่างชายหนุ่มผิวขาวนายหนึ่งคว่ำหน้าอยู่กับพื้นรถ นักศึกษาชายหญิงเงียบกริบด้วยอาการหวั่นกลัว
“มีใครรู้จักมั่งไหมครับ ?” ผมพลิกให้ศพหงายขึ้น หลังจากตรวจค้นตัวไม่พบหลักฐานอะไร
ไม่มีใครตอบ ทุกคนส่ายหน้า
“ผิวขาวเป็นหยวกหยั่งงี้ ท่าจะเป็นคนญวน” ผมพูดขึ้นเพื่อรักษาหน้าตำรวจของเราไว้บ้าง และหวังอย่างริบหรี่จะให้ทุกคนที่เหลือรู้สึกเหมือนกับว่าเป็นความสูญเสียของคนอื่นเท่านั้น อย่างน้อยก็น่าจะบรรเทาความโศกเศร้าเสียใจลงได้บ้าง
ทำไมผมจึงจำยอดจำนวนนักศึกษาได้ ก็เพราะว่า พ.ต.อ.ชอบ เซ็นรับตัวนักศึกษาจากผม 777 คน เท่ากับตองเจ็ดพอดี
เมื่อเสร็จภารกิจ เราเดินทางกลับมาที่ธรรมศาสตร์ ผมให้ตำรวจช่วยกันยกร่างชายผิวขาวผู้เคราะห์ร้ายลงมาวางรวมไว้กับศพอีกหลายศพที่รอรถพยาบาลอยู่
ขณะนั้นเป็นเวลาเย็นใกล้ค่ำ ท้องฟ้าของเดือนตุลาคมสลัวแล้ว เหตุการณ์สงบแล้วเหลือไว้แต่ซากปรักหักพังยับเยินทั้งวัตถุและจิตใจ
เมื่อผมกลับไปกองปราบปรามลาดพร้าว บรรยากาศวังเวงจนผมแน่ใจว่าผมต้องนอนไม่หลับและไม่อยากนอน ผมชวน ส.ต.ท.สมศักดิ์ ไปโรงแรมอิมพีเรียล พบชมรมกาแฟเหลืออยู่ราว 6-7 คน ที่ผมจำได้มี อากร ฮุนตระกูล เจ้าของชมรม กับอาจารย์มหาวิทยาลัย เช่น ดร.สมศักดิ์ ชูโต กับภรรยาซึ่งเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเหมือนกัน
ภรรยาอาจารย์สมศักดิ์ร้องไห้ตลอดเวลาที่ฟังเราเล่าเหตุการณ์
อากรโทรศัพท์ไปหา ขรรค์ชัย บุนปาน ที่สำนักพิมพ์ประชาชาติ เตือนให้ระวังตัว
ขรรค์ชัยเตือนอากรกลับมาว่า “มึงซีต้องระวังตัว !”
อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นไม่นาน “ประชาชาติรายวัน” ก็ถูกปิดตรงตามที่พวกเราวิเคราะห์กัน
ผมทราบว่ามีรายงานกล่าวหาว่าผมเอียงซ้าย ผมขอปฏิเสธเพราะผมไม่ชอบคอมมิวนิสต์ แต่ผมยอมรับว่าผมเกลียดฝ่ายขวา ซึ่งเป็นฟาสซิสต์ ในอัตราที่สูงกว่าหลายเท่าพันทวี
หมายเหตุ : ยศและตำแหน่งของบุคคลในบันทึกนี้ เป็นยศและตำแหน่งในเดือนตุลาคม 2519