อภิญญ ตะวันออก : ภารกิจข้ามเวลา “กัมพูชา-จารกรรม”

จู่ๆ กก ซาล เพื่อนคนเดียวในพนมเปญคราวนั้น ก็รีบบึ่งรถมอเตอร์ไซค์พาฉันออกจากงานชุมนุมข่าว ราวกับหนีความตกตื่นใจบางอย่างของตัวเอง

แรกทีเดียว ฉันยังมึนๆ แต่พอได้คำตอบเท่านั้น ก็มีอาการ “ใบ้กิน” และคิดว่า นี่คือช่องว่างความต่างในชีวิตปูมหลังระหว่างฉันกับกก ซาล

ฉันพอได้ยินเขาบอกว่า กำลังมีสายลับ “สะกดรอย” ตามฉันอยู่ และเขาพยายามที่จะ “ตัดวงจร” นั้นออกไป

ฉันจึงโกรธหมอไม่ลง ได้แต่คิดว่า “มันอาจเป็นอาชีพเก่าของเขา?” สมัยที่กก ซาล หนุ่มเคยถูกส่งไปร่ำเรียนการถ่ายภาพและอื่นๆ ถึงโฮจิมินห์

ดูเหมือนความรู้เรื่องจารกรรมจะติดตัวกลายมาเป็นหลักสูตรรองของเขาด้วย

แต่นั่นมันก็ยุค “80 ถึงเขาจะวนเวียนกึ่งจารกรรมชนอยู่บ้าง แต่มันก็เป็นสมัยคอมมิวนิสต์ ไม่น่าจะพลัดหลงยุคปี “90 ซึ่งถือเป็นยุคใหม่ในสังคมกัมพูชาที่ผ่านการเลือกตั้ง และวงการนักข่าวเขมรก็กำลังเข้ายุคทุนนิยม

แต่กลไกนี้ ดูจะไม่ทำให้ใครบางคนเปลี่ยน

พวกเขาดูยังจมอยู่กับหลัก (การ) เก่าแก่ที่ว่านี้ ซึ่งมันคือเครือข่ายสอดแนมที่เป็นมรดกตกทอดทางการเมืองมาแต่ละยุค

ที่เข้มข้นมากสุดคือสมัยเขมรแดงและเฮง สัมริน

แต่กระทั่งบัดนี้ ก็พบแล้ว ในยุคของฮุน เซน ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปมาก

จนยากที่ใครจะ “หลุดจาก” วังวนตรงนี้ได้ ตราบใดที่ระบบอำนาจเก่ายังถือเป็นกฎบงการและสานประโยชน์

คำตอบของกก ซาล ที่ฉันเคยคิดว่า พวกหลงยุคจากการถูกล้างสมอง ก็คงไม่ประสบต่อเคราะห์กรรมของแวดวงสื่อกัมพูชาเวลานี้

 

กลางปี 2540 ช่วงรัฐประหาร ขณะที่ชาวเขมรบางคนที่มีเชื้อสายฟิลิปปินส์ มีเครดิตภาษาอังกฤษดีเด่น แลจนถูกส่งตัวไปประจำที่สำนักข่าวน้องใหม่มาแรงคือ วิทยุเอเชียเสรี (RFA)

มีแต่จุน จันบุด ที่ทิ้งตำแหน่งเจ้าหน้าที่องค์การยูเนสโกประจำกรุงพนมเปญ มาเป็นนักข่าววิทยุเอเชียเสรีภาคภาษาเขมรอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

และนับจากนั้น เรื่องราวชีวิตของชายผู้นี้ ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของ RFA ไปอย่างปริยาย ตั้งแต่ยุคกระเป๋าบันทึกเสียง มาจนปัจจุบันที่โลกข่าวสารได้เปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างฉับพลัน

ทว่า ท่ามกลางสภาวะกฎการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น แต่กฎบางอย่างทางการเมืองกัมพูชาดูจะเหนือกาลเวลาที่ไม่เคยล้มหายตายจากแม้แต่น้อย แม้แต่จุน จันบุด ซึ่งย้ายไปประจำที่สำนักงานที่วอชิงตันนมนานแล้ว จนดูคล้ายกับไม่น่าจะมีอะไรคุกคามต่อเขาได้

อย่างน่าตื้นตันทีเดียวสำหรับสำนักงานแห่งนี้ ที่มีบรรดาแขกระดับวีไอพีทุกระดับวงการต่างพากันไปเยือน และส่วนใหญ่ จุน จันบุด จะทำหน้าที่สัมภาษณ์

ในจำนวนนั้นก็มีพลโทฮุน มาเนต รวมอยู่ด้วย

แต่เทศกาลโจลฉนำทไม-ปีใหม่ของปีนี้ จุน จันบุด-เริ่มต้น โดยมีบวง นาเร็ต-ถาม ต่อบทสนทนาที่ “ไม่มีปี่มีขลุ่ย” ชุดนั้น มันกลับทำให้ฉัน “ผงกหัว” ขึ้นมาอย่างช้าๆ และใคร่ครวญ (อีกครั้ง)

อืมห์ นี่มันคือเรื่องรั่วๆ และการ “จารกรรม” กันไปมาระหว่าง “หน่วยจารกรรมพนมเปญถึงวอชิงตัน” และจาก “นายกรัฐมนตรีกัมพูชา” ถึง “จุน จันบุด” โดยเฉพาะ

พระเจ้าคงรู้ดีว่าเป็นเรื่องของ “บุพเพสันนิวาส” ที่พวกเขาต้องมาประสบพบพานในเกมแห่งการเผชิญหน้า

 

กลไกที่ทำให้จุน จันบุด ไปอยู่ตรงนั้น คือการที่เขามีความสัมพันธ์กับแหล่งข่าวบาง (และหลาย) คนอย่างลึกซึ้ง ในจำนวนนั้นมีรัดถา วิศาล หรือบองรัดถา อดีตนักข่าวสำนักเดียวกับจันบุด

ความสัมพันธ์ทั้งสองจึงแน่นแฟ้นอย่างมาก ถึงขนาดที่คนหนึ่งเคยฝากฝังลูกๆ ให้ฝ่ายหนึ่งช่วยดูแลขณะอยู่ในอเมริกา

กรณีบองรัดถานี้เอง ที่สะกิดใจฉันต่ออีกคนข่าวแถวหน้าที่เคยทำงานให้สัม รังสี หรือสำนักข่าวท้องถิ่นบางแห่ง และจู่ๆ พวกเขาหายไปและกลายเป็นอื่น

แต่เมื่อบองรัดถา ซึ่งถูกกล่าวถึงอย่างคล้ายกับเป็นหน่วยงานหนึ่งของสำนักข่าวแห่งชาติเสียแล้ว

กระนั้น จุน จันบุด ในฐานะคนของสำนักเอเชียเสรีที่มักจะได้รับข่าวสารฝ่ายหน่วยงานของรัฐบาลพนมเปญอย่างสม่ำเสมอ โดยที่จุน จันบุด เองก็เก็บงำแหล่งข่าวของตนอย่างเคร่งครัด มิพักว่าบางคนในจำนวนนี้ บางทีก็นั่งติดอยู่กับสมเด็จฮุน เซน ขณะแอบรายงานเขา

ในเวลาเดียวกัน บางคนในจำนวนนั้น ก็ส่งข่าวลวงมายังเขาด้วยเช่นกัน

ความสนุกสนานของหน่วยข่าวกรองพนมเปญที่คอยป้อนข่าวเท็จลวงต่อฝ่ายตรงข้าม ขณะที่บางคนกลับจารกรรมข้อมูลช่วยเหลือศัตรูอยู่นั้น

แต่เพื่อให้การทำลายตัวบุคคลเป็นไปอย่างบรรลุ แต่ความผิดพลาดทางอาชีพของจุน จันบุด ดูจะไม่สำเร็จนัก เมื่อการเช็กแหล่งข่าวแห่งนี้มีมาตรฐานในระดับสูง อีกจุน จันบุด เองก็ไม่เคยเพลี่ยงพล้ำ ทั้งกรณีลับลวงการ “สอดแนมกันไปมา” ระหว่าง RFA กับหน่วยข่าวลับของสำนักพนมเปญ

ซึ่งนอกจากจะเรื่องจรรยาบรรณแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่จุน จันบุด จะมาเปิดเผยให้ใครทราบ

เว้นแต่ว่า มันคือการเปิดเกม “ติดกับดัก” กันซึ่งหน้า จนจุน จันบุด ถูกกล่าวหาว่ากระทำการจารกรรมชนต่อรัฐบาลพนมเปญ

จากนั้น เรื่องรั่วๆ ของวงการจารกรรมแขฺมร์ก็มีอันเปิดโปง

 

เริ่มจาก ก่อนหน้านั้น จุน จันบุด ได้รับการติดต่อยาวนาน ในการไปพบกับตัวละครสำคัญแห่งสำนักข่าวกรองของรัฐบาล ผู้ที่พยายามจะขอให้เขาไปพบเป็นการส่วนตัว และไม่ยินดีที่จะสนทนาผ่านระบบการ “สไกป์”

ตั้งแต่การลงพื้นที่พนมเปญเพื่อช่วยทีมงานในพื้นที่ โดยปฏิเสธข้อเสนอการดูแลความปลอดภัยขั้นสูงจากหน่วยงานกลาโหม แม้จะด้วยเหตุผลที่รัฐเกรงว่า หากเขาเป็นอะไรไปเช่นกรณีแกม เล็ย จะก่อผลเสียต่อรัฐบาล

แต่จันบุดปฏิเสธ และการพบปะกับเมา ซีพาน-นายทหารระดับสูง ณ โรงแรมแห่งหนึ่ง จึงเป็น “ดีล” พิเศษที่เต็มไปด้วยการพรางตัว

จุน จันบุด เล่าว่า เขาไปยังโรงแรมดังกล่าว พร้อมกับสารถีส่วนตัวที่บองรัดถาช่วยจัดหาให้ตามที่เขาร้องขอ

ขณะเดียวกัน ก็มีอาสมัครจำนวนหนึ่งซึ่งแฝงตัวในคราบนักธุรกิจ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ขับมุ่งไปทางเดียวกันพร้อมกับรถประจำตัวและองครักษ์ของเมา ซีพาน ครั้นพอถึงสถานที่ ทั้งหมดต่างแยกย้ายไปตามพื้นที่ของตน

เมื่อพบกัน ทั้งสองฝ่ายซึ่งดูจะไม่แตะต้องเครื่องดื่มแต่อย่างใด นอกจากอุปกรณ์โทรศัพท์ 3 เครื่องซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ และ 1 ในนั้น จุน จันบุด สังเกตว่า คล้ายกับอุปกรณ์อัดเสียง

อย่างไรก็ตาม ดีลครั้งนั้น จบลงที่ข้อเสนอให้จุน จันบุด เข้ามาทำงานร่วมกับรัฐบาล ซึ่งจะว่าไป พี่น้องผองเพื่อนมิตรสหายของจุน จันบุด หลายคนก็อยู่ในนั้น รวมทั้งบองรัดถา

แต่จุน จันบุด ผู้ปฏิเสธข้อเสนออันแพงลิบลิ่วนั้นอย่างนุ่มนวลตามสไตล์ในแบบของตน และเชื่อว่าไม่มีน้ำขุ่นอันตามมา

ทว่า เหตุการณ์นี้ไม่ได้จบลงแค่นั้น

 

ต่อมา ได้เกิดคลิปบทสนทนาลึกลับ กล่าวหาว่าเขาเป็นหน่วยจารชนที่มุ่งทำลายรัฐบาล

นับแต่นั้น ผองเพื่อนพี่น้องจากสำนักข่าวกรองพนมเปญและอื่นๆ รวมทั้งบองรัดถาก็พาลพาสะบั้นลงไปด้วย ซึ่งดูเหมือนจุน จันบุด จะเสียใจต่อเรื่องนี้ ไม่ต่างจากกรณีที่เขาต้องเสียงแกม เล็ย ไปอย่างไม่มีวันกลับ

ในเวลาเดียวกัน การสนทนาปราศรัยผ่านไปมาทางเพจวอชแอพพ์ระหว่างจุน จันบุด กับหลานฮุน มาเนต ก็ปิดลงไปด้วยโดยตัวเขาเอง

แม้ว่าต่อมาจะพบว่า ฮุน มาเนต จะพยายามติดต่อเขาอีกครั้ง ด้วยดีลล่าสุด ที่อาจทำให้จุน จันบุด ได้พบกับฮุน เซน อันเป็นความปรารถนาของจันบุดที่จะสัมภาษณ์ในภารกิจที่ฮุน เซน เดินทางไปออสเตรเลีย

แต่เงื่อนไขของเขาไม่ผ่าน และเห็นได้ชัดว่าฮุน มาเนต เองนั้น ไม่ต่างผู้ใกล้ชิดสมเด็จฮุน เซน คนอื่นๆ นั่นคือ เป็นเพียง “คนกลาง” ที่เดินเกมให้ศูนย์อำนาจเบ็ดเสร็จของสมเด็จฮุน เซน เท่านั้น

และอีกครั้ง ที่การออกจากกัมพูชาครั้งสุดท้ายไม่นานของจุน จันบุด เต็มไปด้วยภาวะแห่งความก้ำกึ่งของการถูกควบคุมตัวเพียงเสี้ยวนาทีแห่งการ “ต่อรอง” นั่นคือ รัฐบาลจะต้องถอนข้อกล่าวหาละเมิดกฎหมายทางการจารกรรมทั้งหมดของตน

ทว่า ระหว่างรอคำตอบผ่านทางฮุน มาเนต อยู่นั้น จุน จันบุด ก็พลันตัดสินใจบินเข้าออกมาจากกัมพูชายังประเทศไทย

ทิ้งไว้แต่อดีตมิตรภาพอันคลุมเครือระหว่างเขากับบองรัดถาผู้หันมาโจมตีจุน จันบุด ประหนึ่งศัตรูคู่อาฆาต

แม้ข้อเท็จจริงที่ว่า การออกมาตีแผ่องค์กรลับๆ ของฮุน เซน ของเขาเช่นนี้ อาจมีผลต่อใครหลายคนที่พนมเปญ (ซึ่งอาจรวมทั้งบองรัดถา) และมันก็ทนโท่อยู่แล้วว่า มีนักข่าวอย่างน้อย 2 รายจากอาร์เอฟเอที่ถูกจำคุกข้อหาเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของประเทศ

อย่างไม่มีวันเป็นอื่น คำตอบที่กก ซาล เคยเตือนไว้เมื่อ 20 ปีก่อน

ได้กลับมาร่วมสมัยอีกครั้งกับจุน จันบุด และผองเพื่อน