ทวีปที่สาบสูญ – นี่ไม่ใช่ความฝัน

“มันเป็นยังไงบ้างเล่า มันอยู่กงไหน! อีพี่!”

ยินเสียงเอะอะอะไรกันสักอย่างจากใต้ถุนบ้าน หากฉันก็ยังอ่อนเปลี้ยง่วงงุนมากกว่าจะลุกขึ้น เพียงคิดว่าช่างคุ้นหูเหลือเกิน

ทันใดได้ยินเสียงไม้กระดานลั่นเอี๊ยดๆ และแม่พูดว่า

“มันคงยังหลับอยู่”

ประตูเปิดผลัวะออก ร่างผอมแกร็นก็ถลันเข้ามา พร้อมกลิ่นสาบๆ ฉุนเข้าจมูก

ยายร่อย!

“นอนหยั่งนี้ ระวังผีตะวันจะทับหัวเอาเชียว…ไหน! มึงเป็นยังไงอีพี่! ลุกๆ ขึ้นมานั่งอู้กันก่อน!”

“มันยังอิดอ่อนอยู่…” แม่แย้ง

“เออ ก็แค่ลุกมานั่ง มันจะเป็นหยั่งใด!”

ฉันไม่คิดเลยว่า ตัวเองจะต้องมาพบบรรยากาศเช่นนี้อีก…เห็นไหม ทั้งๆ ที่พยายามจะไปให้พ้น สุดท้ายยังต้องได้กลับมาเจอสิ่งเหล่านี้

ถ้าเป็นปกติ คงจะชักสีหน้าและลุกขึ้นด่าเข้าให้ แต่นี่…ยังไงก็ยังล้าแรงอยู่ และสำนึกบอกให้รู้ว่า สายตาแม่กำลังจับจ้อง

ลุกขึ้นนั่งกลางสะลี เพิ่งรู้ตัวว่าอากาศอบอ้าวเหลือแสน เหงื่อไหลซึมปลายผมอยู่เหนอะหนะ

ยกมือขึ้นไหว้อย่างเสียไม่ได้

“สวัสดี ยาย”

ยายร่อยยกมือรับไหว้ แล้วใบหน้าก็ชะโงกเข้ามาใกล้

ใกล้มาก

ฉันแทบผงะไป นอกจากกลิ่นที่รวยระรินมาตามลมหายใจแล้ว ชัดเจนกว่าใดอื่นคือตาสุกใส

ยายร่อยกำลังจ้องฉันอย่างเอาเป็นเอาตาย

คล้ายจะสำรวจไปทั้งร่างกาย จนเข้าถึงเนื้อในใต้ร่มผ้า

แล้วใบหน้าเหี่ยวย่นก็ยิ้มออกมา

มือสากกร้านข้อนิ้วปูดโปน ยื่นมือมาลูบหัว

“ขวัญเอ๋ยขวัญมา หน้าตามึงยังดีอยู่ บ่ได้หลุได้เสียอันใด ได้ปิ๊กมาอยู่บ้านพ่อบ้านแม่แล้ว โรคภัยอันใดก่ให้หายไปเสียเน้อ”

ฉันผิดคาดกับถ้อยคำที่ได้ยิน

ขณะยายร่อยรวบชายซิ่นนั่งลง แล้วยังคงมองฉันด้วยสายตาเอื้อเอ็นดู

 

นี่มันคือความฝันห่าเหวอันใด หรือเป็นจริงแท้ในโลกที่ฉันยังไม่ได้ตื่นขึ้นมาสักหน่อย แม่นั่งเยื้องอยู่มุมห้อง ยายร่อยนั่งข้างปากประตู ตัวฉันนั่งอยู่กลางสะลี

มีแต่คำพูดดีๆ ออกจากปากยายร่อย

“กูได้ยินข่าวก่ฟั่งมา ห่วงมันนักห่วงมันหนา…”

“คงไม่เป็นอะไรแล้ว” แม่ต่อคำ “ตะวาฮ้องขวัญส่งสะตวง เช้านี้ก็เลี้ยงเจ้าที่ผีปู่ย่าอีก”

“ดีแล้ว อีดาเหย” ยายร่อยเสียงอ่อนเสียงนวล “ให้ขวัญมันมาอยู่กับต๋นกับตั๋ว เดี๋ยวให้หายดีสักหน่อย กูจะมามัดมือให้อีก ส่งเคราะห์แล้วก็อย่าลืมส่งจน”

“พี่หนานเขาว่าจะสืบชะตาให้อยู่”

“ดีๆ ของอย่างนี้มันต้องทำให้ครบ ไปตกยากลำบากทางไกลมา อะหยังว่าดีต้องทำให้เสี้ยง อย่าได้ประมาทลาสา…ว่าแต่ผีอะหยังมาเยียะมาซ้ำมันด้วยก่อ?”

“บ่มีแล้วน้า” แม่ตอบไม่เต็มเสียง “เพียงเมื่อยไข้บ่ดาย”

“เขาว่ามึงไปโดนเปิ้นเต็กเปิ้นเม็กมาไม่ใช่รึ”

จู่ๆ คำพูดก็ออกปากยายร่อยมา

ฉันรีบเหลือบตามองแม่ทันควัน และแม่ก็มองตอบกลับมา ก่อนจะเสียงแข็งขึ้น

“ใครบอกน้า?”

“โอ้ย ไผบอกก็ช่าง คนเปิ้นอู้กันไปทั่วแล้วแหละ”

“แต่ถึงมันจะโดนอะไรมา…”

“บ่ต้องไปสนใจไผ!” ยายร่อยกลับแทรกเสียงขึ้น “กำปากชาวบ้านว่าใด ปล่อยมันว่าไปเทอะ เหมือนอย่างอีเถามันตึงว่า เล่าขวัญเพียงใดบ่ใช่คนซื้อข้าวซื้อน้ำให้กิน เสียแค่_ี ศักดิ์ศรีมีแห็มปะเลอะ!”

 

ฉันไม่เคยคิดเลยว่า จะได้ยินคำพูดออกจากปากคนอย่างยายร่อย…แบบนี้ เหมือนทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้ เป็นเพียงเรื่องธรรมดาสามัญ

ต่างกันกับยายร่อยคนเก่าที่เคยได้พบได้เจอ

ฉันฝันไปใช่หรือเปล่า…

ฝันไปหรือไม่

“ยาย…ยายร่อยอยู่หรือเปล่า”

เสียงใครร้องถามมาแว่วๆ จากข้างถนน ฉันแทบหยุดหายใจ…เสียงเหมือนชื่นใจ

“อยู่ มีอะหยัง…ขึ้นมาบนนี้ก่อน”

ยายร่อยตะโกนตอบไป

เงียบไปสักพัก ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจรดแผ่วเบาขึ้นบันไดมา เสียงไม้ลั่นเอี๊ยด

ในอกเต้นระรัวขึ้น…ชื่นใจหรือ…ชื่นใจมาทำไม…

ชื่นใจอยู่ในหมู่บ้านนี้แล้วหรือ

“อยู่ในนี้!” ยายร่อยส่งเสียงออกไปอีก “เซาะหาเยียะหยัง!”

ใบหน้าผุดผ่องปรากฎขึ้นหน้ากรอบประตู…ผมหยิกปลายเหมือนดัดไว้เป็นคลื่น ปากกับแก้มเป็นสีชมพูเห็นชัด

และครั้นเห็นกันถนัดถนี่ อีกฝ่ายก็ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อสายตา

“หนูปิม…”

 

ปิมปาอายุเท่าไหร่กันแล้ว เด็กผมขอดคนเก่าหายไป ตอนนี้ ใบหน้ามีแต่ความเปล่งปลั่ง จมูกยังกับจะโด่งขึ้นด้วยซ้ำ แต่ปากยังอิ่มตึง และอยู่ในชุดนักเรียน สวมกระโปรงสีดำ

ทว่า นัยน์ตาคู่นั้นยังคงเหมือนเก่า

วับวาวไปด้วยความรู้สึกมากมาย

ปิมปาไม่ใช่เด็กช่างพูด หรือนั่นเพราะดวงตามักจะพูดแทนปากอยู่เสมอ

“…พี่”

ฉันนึกผรุสวาทอยู่ในใจ อดโกรธอยู่ลึกๆ ไม่ได้ ปิมปาไม่ควรจะได้เห็นฉันในสภาพอย่างนี้เลย

“พี่มาตั้งแต่เมื่อไหร่…แล้ว…พี่ไม่สบายหรือคะ”

“อือ” ฉันพยักหน้า

“ก็…ไม่เป็นอะไรมากแล้ว”

“มีอะหยังหรืออีปิม” ยายร่อยถามขึ้น “กาว่าอยากข้าวแล้ว”

“ลุงให้มาตามหายายค่ะ” ปิมปาพูด “ลุงอยากจะให้ไปทำอะไรไม่รู้ค่ะ”

“เมามาแต่วันอีกละสิ” ยายร่อยว่า ถอนใจเบาๆ พลางยันตัวลุก “เออ งั้นก็จะไปดูมันหน่อย ไป”

ปิมปาทำท่าเหมือนจะลุกขึ้น แต่แล้วก็กลับนั่งลงใหม่

“เดี๋ยวหนูตามไปนะยาย”

“อ้อ จะอู้กับพี่มึงหรือ” ยายร่อยดูไม่สนใจมากนัก “อย่ากลับค่ำมากแล้วกัน”

“ใกล้แค่นี้” ปิมปาพูดเบา

“ถึงใกล้ก็เหอะ…กูไม่ชอบอยู่คนเดียว มึงก็รู้”

“ตกลงยาย”

 

ยายร่อยลงเรือนไปแล้ว ยินชายผ้าซิ่นสะบัดไปตามทางลงบันได และไม่นาน เสียงฝีเท้าก็ผ่านถนนข้างบ้านไป แม่ลุกขึ้นบ้าง

“งั้นแม่ลงไปดูในครัวไฟก่อนนะลูก”

แม่พูดกับฉันอย่างนุ่มนวล…นุ่มนวลกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

“ไม่ต้องนอนต่อแล้วนะ ตะวันจะทับตาเอาไปฝันร้ายตอนดึก…ปิม อยู่กินข้าวกับพี่ก็ได้นะ แม่จะทำแกงไก่ใส่ใบเล็บครุฑ”

“ขอบคุณค่ะ” ปิมปาตอบรับ

“เสร็จแล้วแม่จะเรียกนะ”

ประตูห้องยังเปิดค้างเอาไว้ เมื่อแม่ลับตัวไป

ทันใด เด็กหญิงก็ลุกพรวดไปหับประตู แล้วกระโจนเข้ามา

“เดี๋ยว! หนูปิม ทำอะไร”

สองแขนขาวผ่อง สอดเข้ามากอดรัดฉันไว้ ใบหน้าซุกแนบลงกับอก และเกลือกหัวไปมา

“พี่…หนูดีใจจังเลย ที่พี่มา”

น้ำตาทะลักออกมาจากหน่วยตากลมเหมือนลูกแก้ว เหมือนเจ้าตัวปราศจากความพยายามจะกลั้นมันเอาไว้

เพียงพริบตาเดียว ความเปียกชื้นก็ผ่านเสื้อฉันเข้าไป

ใจฉันหายวูบ

“…หนูปิม”

 

[“เมื่อกลางวันกินอะไร หนูปิม”

“น้ำพริกแคบหมู”

“อีกแล้วหรือ ใส่แคบหมูกี่ซี่”

“ซี่เดียว กินกับผักแคบลวก”

ฉันยื่นมือโยกหัวเด็กหญิง

“ดีแล้ว กินผักมากๆ จะได้ใหญ่เร็ว”

“เหนื่อยหรือยัง”

ฉันถามเด็กหญิง หยุดเท้า เมื่อนึกรู้ตัวว่าน่าจะเดินเร็วไป เด็กผมขอดส่ายหน้า

“ไม่”

“แล้วนั่นเหงื่อใครออก”

ปาดมือที่ปลายจมูก เด็กหญิงหน้าแดง เออ ทำตัวยังกับสาวๆ อายุเท่าไหร่กัน ดูหัวอ่อนไร้เดียงสา ทว่า มีจริตอย่างคนโตๆ ไปเอาอย่างใครมา

“เดี๋ยวไปเก็บมะแคว้งกันทางโน้นอีกหน่อย”

ถ้าตรงขึ้นไปเรื่อยๆ จะมีถนนเลี้ยวไปยังทุ่งตะวันตก เคยมีต้นมะเขือพวงอยู่แถวริมน้ำเหมือง ใกล้ต้นขี้เหล็ก และต้นดอกจ้อล่อ

“ไปสิ” ตัวขาวพยักหน้า

“กลัวผีหรือเปล่า”

“…ทำไม”

“ไม่มีอะไร เห็นมีใครบอก เคยมีคนผูกคอตายใต้ต้นมะแคว้ง”

“พี่!”]

 

เด็กหญิงคนเดียวกันนั้น ที่เคยทำให้ฉันรู้สึกสบายใจ บางครั้งก็ขบขัน และห่วงใยอยู่ในส่วนลึกโดยไม่รู้เพราะอะไร

ในวันที่ฉันไม่ได้แข็งแรงอะไรนักหนา ทว่า ก็กลับเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของฉัน และทำราวว่าฉันยังคงเป็นคนดี คนวิเศษที่สุด…เป็นยอดมนุษย์ของเธอ

แขนที่ยังปวดร้าวของฉัน จึงอาจจะเพียงขยับขึ้นกอดด้วยสัญชาตญาณ แต่การแนบใบหน้ากับหัวทุยๆ นั้นบ้าง ก็เป็นความรู้สึกที่ดีอยู่ไม่น้อย

“ร้องไห้ทำไม หนูปิม”

“…ดีใจ…ปิมดีใจที่พี่มา”

ฉันไม่แน่ใจนักว่า ที่ผ่านมาปิมปาช่างเจรจาหรือไม่ คล้ายบางอย่างจะวูบเข้ามาในการระลึกรู้ แต่หลายสิ่งเพียงเป็นเมฆหมอกเลือนรางไป…ฉันไม่ได้นึกถึงปิมปามากมายนัก จนทำให้อดละอายใจไม่ได้

ใบหน้าของอ้ายหมารอยผ่านเข้ามา

มันเสียอีก ที่เข้ามาในความคิดของฉันเสมอ

แต่เปล่าประโยชน์จะเทียบเปรียบไป

“ปิมคิดถึงพี่มากๆ…พี่ล่ะ คิดถึงปิมหรือเปล่า”

ให้ตายเถอะ ชาติหมา การถูกถามด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตา ทำให้ฉันรู้ตัวจริงๆ แล้วว่า นี่ไม่ใช่ความฝัน