มนัส สัตยารักษ์ : กาสิโน

ประมาณปี 2520 ครั้งที่ผมเป็น สวญ.สน.บุปผาราม เย็นวันหนึ่งได้รับรายงานจากตำรวจสายตรวจว่า พล.ต.ท.องอาจ ผุดผาด ผช.อ.ตร. มานั่งรับประทานอาหารที่ร้านค้าแห่งหนึ่งตามลำพัง ในฐานะลูกน้องเก่าครั้งอยู่กองปราบปราม ผมรีบไปพบท่านทันที

ปี 2506 ผมยังเป็น รอง สว. นั้น รององอาจเป็น รอง ผบก.ป.แล้ว แต่โดยวัฒนธรรมหรือวิถีชีวิตของตำรวจกองปราบปรามสามยอด (อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่าง) ทำให้รองสารวัตรกับรองผู้บังคับการ ใกล้ชิดสนิทสนมกันเหมือนพี่น้องหรืออา-หลาน มากกว่านายกับลูกน้อง

เราคุยเรื่องอะไรต่อมิอะไรหลายเรื่อง แล้วมาจบลงตรงที่ผมแสดงความคิดเห็นว่า ประเทศไทยควรเปิด “กาสิโน” แข่งกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่ท่านองอาจไม่เห็นด้วย ท่านสาธยายถึงข้อดีข้อเสียจากการเปิดบ่อนให้ถูกต้องตามกฎหมาย แล้วสรุปได้ประมาณว่า

“ไม่คุ้มกับที่ประเทศไทยต้องเสียลักษณะของความเป็นไทยไป”

เหตุที่ผมมีความคิดเรื่องกาสิโนขึ้นมาในช่วงเวลานั้น น่าจะเนื่องมาจากความกังวลในฐานะเป็น สวญ. ซึ่งจะเป็นคนแรกที่ต้องรับผิดชอบในฐานะ “5 เสือ” ของท้องที่ หรือเกิดจากความหงุดหงิดที่ถูกผู้บังคับบัญชาเลวบางคนฉวยโอกาสข่มหมูเราเรื่องบ่อน

ผมมีความคิดว่าตำรวจเราน่าจะทุ่มเทสรรพกำลังทั้งหมดเท่าที่มีไปกับการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม มากกว่ามาเสียเวลากับการเฝ้าระวังพวกนักการพนัน โดยมอบหมายให้หน่วยงานใดหน่วยของหนึ่งของรัฐจัดตั้งกาสิโนถูกกฎหมาย ทำนองเดียวกับไทยสมัยโบราณที่มี “นายอากรบ่อนเบี้ย”

แยกพวกนักพนันอาชีพออกจากชาวบ้าน เป็นนักพนันอาชีพที่มีคุณสมบัติพร้อมตามที่กฎหมายกำหนด เช่น อายุ ตัวเลขในบัญชีธนาคาร ฯลฯ เป็นต้น กันพวกเขาออกไปเสียจากสังคมปกติ ให้เขาอยู่ในขอบเขตที่เรากำหนด โดยไม่ต้องขนทรัพย์สินออกไปจ่ายในบ่อนต่างประเทศ

แต่เมื่อได้ฟังนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่ผ่านโลกมานานอธิบายอย่างมีรายละเอียด ผมกลับเชื่อฟังแต่โดยดี

ความข้างต้นเป็นเรื่องในปี 2520 มาถึงวันนี้เป็นเวลาได้ผ่านเลยปี 2560 มาแล้ว สังคมไทยมีปรากฏการณ์วิปริตเกิดขึ้นถึงขนาดครูและพระภิกษุมากมายมีพฤติกรรมตรงกันข้ามกับสถานะ มาถึงปี 2561 ผู้ที่เคยต่อต้านกาสิโนเพราะเป็นห่วงภาพลักษณ์ของประเทศอาจจะเปลี่ยนความคิดก็ได้

ถ้า พล.ต.ท.องอาจ ผุดผาด ยังมีชีวิตอยู่ถึงวันนี้ ท่านคงเปลี่ยนความคิดไปแล้วแน่นอน

กลางปี 2558 หลังจาก คสช. รัฐประหารมาได้ครบปี ได้มีสมาชิกสภาปฏิรูป (สปช.) กลุ่มหนึ่ง 12 คน เรียกตัวเองว่า สปช.รักชาติ มี พ.ต.อาณันย์ วัชโรทัย เป็นหัวหน้ากลุ่ม ได้ออกมาแถลงต่อสื่อมวลชนว่า ถึงเวลาที่รัฐบาลควรเปิดบ่อนกาสิโนถูกกฎหมายได้แล้ว กลุ่ม สปช.รักชาติเตรียมเสนอประธาน สปช. เพื่อผลักดันให้รัฐบาลและ คสช. ดำเนินการให้เป็นรูปธรรมต่อไป

หลังจากนั้นก็มีทั้งฝ่ายเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยออกมาดีเบตวิพากษ์วิจารณ์โต้ตอบกันไปมา อีกส่วนหนึ่งวิวาทะกันในสื่อโซเชียลด้วยถ้อยคำหยาบคายรุนแรง

ฝ่ายสนับสนุนพูดถึงวิธีคิดใหม่ ดึงธุรกิจใต้ดินขึ้นมาบนดิน พูดถึงความเสียเปรียบแก่เพื่อนบ้านรอบประเทศไทย นักพนันไทยเอาเงินออกนอกประเทศ พูดถึงรายได้และเศรษฐกิจของประเทศ งานและเงินของประชาชน

ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยจะพูดถึงคำว่า ศาสนา วัฒนธรรม ศีลธรรม ลักษณะสังคมไทย พูดถึงเยาวชน ภาพลักษณ์ของประเทศ การพนันเป็นต้นเหตุแห่งความเสื่อมและการแตกสลายของครอบครัว

นักวิชาการค่อนข้างจะโน้มเอียงไปในทางที่ไม่เห็นด้วย ท่านกล่าวว่า การทำกาสิโนอย่างใหญ่โตเพื่อหวังดึงดูดนักท่องเที่ยวนั้น ต้องอาศัยนักลงทุนจากบริษัทข้ามชาติ ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะนำเงินกำไรไปกระจายสู่ระบบเศรษฐกิจไทย

GDP อาจจะโตขึ้น แต่ในแง่ของคุณภาพชีวิตไม่ได้ดีขึ้น เงินไม่ได้กระจายสู่สังคม เพราะจะตกไปอยู่ในมือของนักลงทุนต่างชาติ

ประธานสภา สปช. กล่าวว่า เรื่องการตั้งบ่อนกาสิโนถือเป็นประเด็นที่ไม่ได้อยู่ในวาระการปฏิรูปของ สปช. และไม่ใช่ประเด็นสำคัญ

อย่างไรก็ตาม ประเด็นกาสิโนยุติไปอย่างรวดเร็วเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของกลุ่ม สปช.รักชาติ คำตอบของนายกรัฐมนตรี คล้ายๆ กับประธานสภา สปช.

มีอย่างอื่นที่ต้องรีบทำมากกว่า

ทางฝ่ายตำรวจ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.ในขณะนั้น สนับสนุนการเปิดกาสิโนถูกกฎหมายอย่างเต็มตัว จึงได้รับคอมเมนต์บริภาษอย่างหยาบคายจากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย

พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว อดีต ผบ.ตร. เห็นว่าแต่ละปีมีคนไทยนำเงินไปเล่นพนันในบ่อนกาสิโนต่างประเทศเป็นจำนวนมาก จึงเห็นด้วยกับการสร้างเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ โดยกำหนดระเบียบ จัดระบบเก็บข้อมูลผู้ที่เข้าไปใช้บริการให้ชัดเจน ตรวจสอบประวัติได้

แต่เมื่อนายกรัฐมนตรีเบรก ผบ.ตร. ตำรวจทั้งสองท่านก็หยุดพูด

ส่วนผม-อดีตตำรวจ ก็ได้แต่ “ทำใจ” แม้จะเห็นด้วยกับความคิดเปิดกาสิโนถูกกฎหมายมาตั้งแต่ปี 2502 หรือตั้งแต่ปีที่จบการศึกษาออกมาเป็นตำรวจโรงพักก็ตาม

แต่แล้วก็ทำใจไม่ได้ เมื่อมีข่าวเน่าเหม็นมโหฬารของวัดพระธรรมกาย ข่าว “เงินทอน” ในวงการศาสนาพุทธ ข่าวข้าราชการไทยโกงคนจน โกงชาวเขา โกงกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต หรือโกงนักเรียนยากไร้ โกงคนป่วยเอดส์ โกงวัคซีนป้องกันการระบาดของโรคพิษสุนัขบ้า

อดคิดไม่ได้ว่าบ้านเมืองของเราผู้มีอำนาจส่วนใหญ่เป็นคนนิยมชมชอบการ “สร้างภาพ” พวกเขาล้วนเรียกตัวเองว่าเป็น “คนดี” คนดีที่มือถือสากปากถือศีล

เขาเป็นห่วงสังคมที่มีกาสิโนจะทำให้ประเทศเสียภาพลักษณ์ เขาไม่ห่วงประเทศที่มีคนโกงทุกหย่อมหญ้า ใกล้จะครบทุกจังหวัด และโกงตั้งแต่หัวจดหาง!

ผมเคยคุยเชิงขอความเห็นจากเพื่อนนักวิเคราะห์ปัญหาบ้านเมืองคนหนึ่ง ในฐานะที่เพื่อนมีประสบการณ์เกี่ยวกับการจะเปิดบ่อนกาสิโน เพื่อนเคยเป็นที่ปรึกษา เป็นคณะอนุกรรมการ หรือเป็นคณะทำงานในหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน

พอพูดถึงเรื่องเปิดกาสิโนในไทย เพื่อนมีอาการอย่างที่เรียกกันว่า “ของขึ้น” เขากล่าวว่ากรณีกาสิโนเหมือนกับกรณี “ขุดคอคอดกระ” มันมีผลประโยชน์ส่วนตัวมาบังตา

ระบายพรั่งพรูออกมาจนผมไม่สามารถจำรายละเอียดได้หมด เช่น ชื่อตำบล ชื่อสถานที่ ชื่อองค์กร ตลอดจนข้ออ้างในการคัดค้าน โดยเฉพาะชื่อบุคคลบางคน เราจะหารือกันก่อนว่าควรจะเปิดเผยหรือไม่

ผมจะขอเล่าเรื่องนี้ต่อในครั้งหน้า