เผยแพร่ |
---|
เหมือนกับความพยายามจะ”ย้อนยุค”หลังรัฐประหารให้หวนกลับไปสู่ยุค”ประชาธิปไตยครึ่งใบ”จะเป็นจุดแข็งของ”คสช.“
โดยมีภาพ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็น “ปฏิมา”
เห็นได้จาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ไม่ตั้งพรรคการเมือง และไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง
หากคอยหยิบ “ชิ้นปลามัน”สบายใจ
สบายใจตั้งแต่เดือนมีนาคม 2523 กระทั่งเดือนสิงหาคม 2531
รวมแล้วอยู่ในตำแหน่งกว่า 8 ปี
กระนั้น เมื่อนำ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปวางเรียงเคียงกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ก็มีทั้งความเหมือนและความต่าง
เป็นจุดต่างที่”จุดแข็ง”กลายเป็น”จุดอ่อน”
ต้องยอมรับว่าสังคมไทยในยุคหลังรัฐประหารเมื่อเดือนตุลาคม 2520 กับในห้วงแห่งรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 มีความแตกต่าง
เมื่อปี 2520 พรรคการเมืองยังอ่อนแอ กระจัดกระจาย
พรรคประชาธิปัตย์ เก่าแก่ก็จริง พรรคกิจสังคม พรรคชาติไทย ก่อตั้งตั้งแต่ปี 2518 ก็จริง แต่ก็ยังไม่แข็งแกร่งและมั่นคง
จึงมีแต่ “พรรคราชการ”โดยมี”ทหาร”นำเท่านั้นที่มั่นคง แข็งแกร่ง
แต่มาถึงหลังรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557 แม้”พรรคราชการ”โดยมี”ทหารนำ”จะยังแข็งแกร่ง มั่นคง แต่ก็ต้องยอมรับว่าพรรคการเมืองอย่างพรรคเพื่อไทยก็ใช่ว่าจะอ่อนแอ ปวกเปียก
เพราะความแข็งแกร่งของพรรคเพื่อไทยอยู่บนฐานอันประชาชนให้การสนับสนุนมาตั้งแต่ยุคพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน
รัฐประหารกี่ครั้งก็ไม่มีพรรคการเมืองใดสยบอิทธิพล ไทยรักไทย พลังประชาชน เพื่อไทย ลงได้
จุดแข็งของไทยรักไทย พลังประชาชน เพื่อไทย ซึ่งได้มาจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 และการเลือกตั้งนับแต่เมื่อเดือนมกราคม 2544 นั้นเอง
ทำให้หนทางเดินในทางการเมืองของรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557 ไม่ฉลุย
ไม่ง่ายดายเหมือนยุค พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์