มนัส สัตยารักษ์ : เกร็ดประทับใจ

ชุมพล อัตถศาสตร์ (พล.ต.อ./รอง อ.ตร.) เคยเล่าให้ผมฟังว่า สล้าง บุนนาค กระโดดร่มครั้งแรกร่มไม่กาง!

ชุมพลเล่าเรื่องนี้เมื่อครั้งยังเป็นนายพันอยู่โรงพักบางซื่อ พร้อมกับออกแอ๊กชั่นกางขากางแขนแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า พร้อมกับร้องตะโกน

“ไอ้หล้าง กระตุกรีเสิร์ฟ !!…ไอ้หล้าง กระตุกรีเสิร์ฟ!!”

ทั้งๆ ที่สล้างกำลังลิ่วลงมาโดยไม่ได้ยินเสียงตะโกนแต่อย่างใด

เหตุการณ์หวาดเสียวนี้เกิดขึ้น ครั้งสล้างเป็น ร.ต.ต. จบใหม่ บรรจุเป็น ผบ.มว. ตำรวจตระเวนชายแดนแห่งหนึ่ง และถูกส่งไปฝึกกระโดดร่มที่ค่ายมฤคทายวัน อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี เพื่อพร้อมจะออกปฏิบัติหน้าที่สู้รบตามแนวชายเขตรอยต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน

ขณะนั้นชุมพล นรต.รุ่นพี่ (รุ่น 13) เฝ้าดูการฝึกของรุ่นน้องอยู่อย่างใกล้ชิด

ชุมพลเล่าว่า สล้างกระตุกรีเสิร์ฟในระยะที่ร่มกางก่อนลงถึงพื้นพอดี นักโดดร่มที่กลั้นหายใจดูอยู่บนพื้นดินร้องตะโกน “ไชโย” แล้วกรูกันแบกสล้างขึ้นบ่าแห่ไปยังอาคารสโมสรของค่าย เพื่อแสดงความยินดีกันอย่างยิ่งใหญ่

ผมประทับใจเหตุการณ์นี้ ทึ่งในความมี “สติ” ของสล้าง

หลังเกษียณอายุกันแล้วเราคิดที่จะรวบรวมประวัติการทำงานและผลงานที่น่าสนใจทั้งบู๊และบุ๋นของ พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค พิมพ์เป็นเล่มเพื่อให้สังคมได้รับทราบความจริงของตำรวจอีกมุมหนึ่ง กับเพื่อให้ตำรวจรุ่นหลังได้รับทราบเป็นบทเรียน และเป็นแรงบันดาลใจในการรับราชการตำรวจ พร้อมที่จะพบกับชีวิตซึ่งมีครบทุกรสชาติ

ผลงานอันน่าทึ่งอย่างที่เรียกกันว่า mission impossible ของสล้าง เช่น ลักลอบพานายพลภูมี หน่อสวรรค์ หลบหนีออกจากประเทศลาว จับกุมผู้ร้ายข้ามชาติตัวสำคัญของมาเลเซียจนได้รับฉันทานุมัติจากรัฐสภาให้สล้างมีสิทธิพกพาอาวุธปืนได้ทั่วประเทศ ทั้งที่กฎหมายเกี่ยวกับอาวุธของเขาเคร่งครัดและกำหนดโทษถึงประหารชีวิตสถานเดียว

เรื่องประเภทนี้ ผู้ใต้บังคับบัญชาใกล้ชิดรองสล้างได้รวบรวมไว้บ้างแล้ว พร้อมภาพประกอบชวนตื่นเต้น

ส่วนเรื่องเกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวนและปราบปรามคนร้ายในคดีดัง มีมากมายหลายเรื่อง ในจำนวนนั้นมีเรื่องที่สล้างต้องต่อสู้กับอิทธิพลของมาเฟียและนักการเมืองระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตลอดจนต้องเผชิญกับอำนาจของนายตำรวจใหญ่ นั่นคือ “คดีโกโหลน”

ผมมีโอกาสได้สัมภาษณ์รายละเอียดจากนายตำรวจผู้ร่วมผู้ปฏิบัติมาเขียนเล่าในคอลัมน์นี้เมื่อต้นปี 2559

คดีที่ผมมีส่วนร่วมมีหลายเรื่อง ที่จำได้ก็คือ “คดีพีเอ็กซ์” ซึ่งตัวผมเองเป็นต้นเรื่องรับแจ้งจากสายลับ กับ “คดีเรียกค่าไถ่นงนุช ตันสัจจา” ผมมีโอกาสร่วมสืบสวนและจับกุมคนร้ายรวมทั้งติดตามเงินของกลางคืน ทั้ง 2 เรื่องผมจำไม่ได้ว่าผมเขียนถึงแล้วหรือไม่ และทีมของสล้างได้รวบรวมรายละเอียดไว้หรือยัง

เรื่องราวที่กล่าวถึงและที่ยังไม่ได้กล่าวถึงนี้ ดูเหมือนว่า “วิสา คัญทัพ” น้องนักเขียนคนหนึ่งของผม เคยรวมรวม เรียบเรียงและพิมพ์เป็นเล่มขนาดอัลบั้มมาแล้ว แต่ผมนึกไม่ออกว่าวิสาเลือกเรื่องอะไรตีพิมพ์บ้าง

ลงทุนค้นหาหนังสือเล่มนี้ก็ไม่พบ เพราะผมจัดบ้านใหม่ หนังสือมากมายยังไม่เป็นระเบียบของบรรณารักษ์

การทำงานจะบอกความคิดและจิตใจตลอดจนอุดมการณ์ของผู้ทำ

ผมจำ 2 เรื่องที่ผมมีส่วนได้ร่วมงานกับรองสล้างดังกล่าวข้างต้น แต่ผมลืมข้อเท็จจริงของวัน เดือน ปี ชื่อคน หรือของกลาง แม้แต่ผลของคดีถึงที่สุดบางทีผมก็นึกไม่ออก ผมมักจะจำได้แต่เฉพาะ “เกร็ดประทับใจ” เท่านั้น

คดีพีเอ็กซ์ เป็นเรื่องของการยักยอกและขนย้ายของเหลือใช้จากสงครามเวียดนาม-อเมริกา ผม (สว.ผ.3 กก.2ป.) เป็นจุดแรกที่ประกบและติดตามรถตู้ขนของพีเอ็กซ์ ผมมี ร.ต.อ.ทวีวัฒน์ ตันเต็มทรัพย์ รอง สว. เป็นคนขับรถเก๋งสปอร์ตติดตาม เราตามประกบไปตั้งแต่เวลาประมาณ 3 ทุ่ม และหลุดหายไปจากสายตาหลังจากเวลาผ่านไปราว 2 ชั่วโมง ผม ว. แจ้งความผิดพลาดนี้ให้ทุกจุดทราบและบอกรายละเอียดของรถเป้าหมายเพิ่มเติม

จนเวลาผ่านไปถึงเที่ยงคืนหรือขึ้นวันใหม่แล้ว จึงได้รับแจ้งจากรองสล้างว่าพบรถตู้ในเวิ้งตึก 4 ชั้นแห่งหนึ่ง

เมื่อถึงเวิ้งตึกนั้น รถฝ่ายตำรวจปิดล้อมรถตู้ไว้แล้ว แสงไฟสปอตไลต์วูบวาบ ประชาชนชาวตึกเปิดหน้าต่างโผล่หน้ามาดูเหตุการณ์ นายตำรวจคนหนึ่งตะโกนสั่งให้ปิดหน้าต่าง

“ไม่มีอะไร…เรากำลังจะถ่ายหนังกัน ปิดหน้าต่าง!”

ตำรวจคนหนึ่งดึงกุญแจรถตู้ออก นายตำรวจกรากเข้าไปอัดคนที่นั่งในรถและตะคอกถามที่ตั้งโกดัง

รองสล้างปราดเข้ามาขวางไว้พร้อมกับอำนักขนย้ายว่า “มึงรู้ไหม พวกมึงตกเป็นเครื่องมือคนขายชาติ… พวกมันให้พวกมึงขนอาวุธไปให้ต่างชาติ”

ในจำนวนนักขนย้ายมีคนหนึ่งเป็นทหารยศสิบเอก ความรักชาติล้นเหลือจึงบอกทางไปโกดังที่เก็บของพีเอ็กซ์ทันที

คดีเรียกค่าไถ่นงนุช ตันสัจจา หลังจากคุณนงนุชปลอดภัยแล้ว รองสล้างได้สืบสวนจนทราบที่หลบหนีของคนร้ายว่าอยู่ที่จังหวัดน่าน จึงจัดทีมติดตามจับกุม ผมเป็นตัวเลือกแรกเพราะในคดีนี้คนร้ายได้ยิงจ่าเปี๊ยกตำรวจใต้บังคับบัญชาของผมเสียชีวิต

ระหว่างเดินทาง รถคันที่ผมใช้เสียระหว่างทาง แต่รองสล้างหยุดรอก่อนจะเข้าบ้านผู้ต้องหา เมื่อผมตามมาทันนั้นสว่างแล้ว ซึ่งหมายความว่าตำรวจอาจจะเป็นรองในยุทธวิธี ภาพที่ผมจำติดตาก็คือรองสล้างวิ่งนำหน้าและชาร์จเข้าถึงตัวผู้ต้องหาทันที ผู้ต้องหายกมือปิดหน้าแนบเสากลางบ้าน หันหลังให้ ราวกับเตรียมตัวใช้แผ่นหลังหรือท้ายทอยเป็นที่รับกระสุน

แต่รองสล้างไม่ยิง ปราดเข้าล็อกตัวไว้ ผู้ต้องหารีบรับสารภาพทุกคำถาม

บ้านหลังนั้นค่อนข้างกว้างใหญ่ มีผู้หญิงสูงอายุและเด็กเล็กๆ หลายคน หลังจากรวบรวมของกลางแล้ว รองสล้างเรียกผมไปกระซิบเชิงหารือ

“มันอุตส่าห์ทำงานนะพี่” พูดพลางนิ้วกรีดปึกธนบัตรพลาง “ให้คนแก่บ้างนะพี่”

ผมคิดค้านอยู่ในใจแต่พยักหน้ายอมรับ รองสล้างดึงส่วนหนึ่งส่งให้หญิงสูงอายุ

มีเกร็ดประทับใจอีกเรื่อง เป็นเกร็ดที่รองสล้างเล่าให้ผมฟังเอง…

ในครั้งล้อมจับคนร้ายรายหนึ่งที่หาดใหญ่ พอท่านเหนี่ยวตัวขึ้นจนศีรษะพ้นจากผนังหรือช่องลม คนร้ายที่ซ่อนตัวอยู่บนเพดานบ้านเอาปืนจ่อหัวไว้แล้ว

“มึงกำลังทำผิดนะ”

รองสล้างบอกว่า ไม่รู้ว่าหลุดประโยคนี้ออกมาได้อย่างไร คนร้ายวางปืนและยอมให้จับกุมโดยดุษณี ผมคิดว่านี่อาจจะเป็นเพราะ “ตบะ” ก็ได้

นับจากเรื่องร่มไม่กางมาจนถึงเรื่องนี้ ทำให้ผมมองเห็นคุณลักษณะของสล้างที่มากกว่าความเป็นคนดุใจเด็ดเพียงอย่างเดียว