ยานยนต์/สันติ จิรพรพนิต/นิสสัน ‘GT-R’ – ฟอร์ด ‘RAPTOR’ พลิกโฉมวงการยานยนต์ไทย

สันติ จิรพรพนิต

ยานยนต์
สันติ จิรพรพนิต
[email protected]

นิสสัน ‘GT-R’ – ฟอร์ด ‘RAPTOR’

พลิกโฉมวงการยานยนต์ไทย

การเปิดตัวทำตลาดในเมืองไทยของยอดรถ 2 รุ่นทั้งนิสสัน “จีที-อาร์” (GT-R) สุดยอดรถเก๋งซูเปอร์สปอร์ตในฝันของคนทั่วโลก และฟอร์ด “เรนเจอร์ แร็พเตอร์” (RANGER RAPTOR) ปิกอัพแต่งพิเศษ ถือเป็นการพลิกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการรถยนต์เมืองไทยก็ว่าได้
ด้วยเพราะราคาจำหน่ายของรถทั้ง 2 รุ่นนี้ ถือว่ากระโดดค้ำถ่อไปไกลกว่าที่คนไทยคุ้นเคย
นิสสัน “จีที-อาร์” เป็นชื่อที่คนไทยรู้จักมาเนิ่นนาน เพราะเป็นเก๋งจากแดนปลาดิบค่ายเดียวที่เทียบชั้นรถซูเปอร์คาร์จากยุโรปได้ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในรถคันเอกของภาพยนตร์ “ฟาสต์แอนด์ฟิวเรียส” ที่สร้างต่อเนื่องมาเกือบ 10 ภาคแล้ว
ตัวผมเองคุ้นเคยกับรถรุ่นนี้ดี ไม่ใช่เพราะเคยขับแต่เพราะชอบในรูปร่างหน้าตาและสมรรถนะ ก่อนหน้านี้เคยมีผู้นำเข้ารถยนต์อิสระ สั่งมาจำหน่ายได้รับความนิยมระดับหนึ่ง
จนเมื่อหลายปีก่อนผมได้รับเชิญไปร่วมงานโตเกียว มอเตอร์โชว์ กับค่ายนิสสัน มีโอกาสไปชมศูนย์การผลิตรถยนต์ “จีที-อาร์” และพบความพิถีพิถันในทุกขั้นตอนการผลิต โดยเฉพาะเครื่องยนต์ที่ตั้งจูนด้วยมือของสุดยอดวิศวกรในนาม “ทาคูมิทีม”
จำได้เลาๆ ว่า ทาคูมิ เป็นชื่อของหัวหน้าวิศวกรมีลูกทีม 4-5 คน ทำหน้าที่จูนเครื่องยนต์และควบคุมการผลิตขั้นตอนสุดท้าย
ส่วนขั้นตอนการผลิตเครื่องส่วนอื่นๆ มีวิศวกรอีกหลายสิบคนช่วยกันทำภายในห้องปลอดฝุ่น
เมื่อเสร็จสิ้นทุกกระบวนการแล้วจะติดเครื่องทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง เพื่อดูการทำงานของระบบต่างๆ ว่าเรียบร้อยดีหรือไม่ หากผ่านสเป๊กแล้ววิศวกรทาคูมิทีม ที่รับผิดชอบเครื่องยนต์นั้นๆ จะติดป้ายเหล็กเป็นชื่อตัวเองไว้ที่เครื่องยนต์

การได้เห็นขั้นตอนต่างๆ ในการผลิตเครื่องยนต์จีที-อาร์ และสมรรถนะรวมถึงชื่อเสียงของรถรุ่นนี้ ผมตั้งคำถามว่ามีโอกาสที่จีที-อาร์ จะมาทำตลาดในเมืองไทยหรือไม่
คำตอบเมื่อหลายปีก่อนยังไม่ชัดเจนนัก เนื่องจากยอดขายจีที-อาร์ทั่วโลกนั้นค่อนข้างดี บวกกับการผลิตเครื่องยนต์ได้จำนวนจำกัด
แต่ในที่สุดจีที-อาร์ หรือเจ้าก๊อตซิลล่า ก็ได้ฤกษ์เข้ามาวาดลวดลายในเมืองไทย โดยเป็นรุ่นพิเศษคือ “จีที-อาร์ พรีเมียม อิดิชั่น 2018”
ราคาจำหน่ายเปิดมาที่ 13.5 ล้านบาท
ต้องบอกว่ารถยนต์ประเภทนี้ในเมืองไทยไม่เคยมีมาก่อน เพราะถ้ารถสปอร์ตแพงหลัก 10 ล้านขึ้นไปก็ต้องเป็นแบรนด์ยุโรปที่คนไทยคุ้นเคย หรือไม่ก็ต้องเก๋งซีดานหรูหรา
“จีที-อาร์ พรีเมียม อิดิชั่น 2018” ใช้กระจังหน้า V-motion เอกลักษณ์การออกแบบล่าสุดของนิสสัน ขยายให้ใหญ่ขึ้นเพื่อเพิ่มการทำความเย็นเครื่องยนต์ โดดเด่นด้วยวัสดุโครเมียมแบบด้านและแพตเทิร์นโครงร่างตาข่าย ฝากระโปรงที่มีเส้นนำสายตาจากกระจังหน้า
แผงดิฟฟิวเซอร์ด้านหน้าคาร์บอน แบบ เอสเอ็มซี (Carbon SMC) และแผงดิฟฟิวเซอร์ด้านหลังคาร์บอนคอมโพสิทเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพแอโรไดนามิก
ไฟหน้า LED ลำแสงกว้างไกลสูง พร้อม AFS ฟังก์ชั่นปรับความสูงและใบปัดล้างระบบล้างไฟหน้า พร้อมไฟตัดหมอกหน้า ไฟหรี่ LED
โคมไฟท้ายทรงกลม LED ความละเอียดสูงแบบ Multi-LED พร้อมสัญลักษณ์ GT-R

ห้องโดยสารออกแบบอย่างพิถีพิถัน พวงมาลัยหุ้มหนังรุ่นใหม่ปรับตามความเร็วรถ พร้อมระบบมัลติฟังก์ชั่น สวิตช์ควบคุม MID บนพวงมาลัย ระบบล็อกความเร็ว ครูสคอนโทรล สวิตช์ควบคุมบลูทูธบนพวงมาลัย
แผงควบคุมกลางถูกปรับปรุงใหม่และมีความเรียบง่ายยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า จำนวนสวิตช์ควบคุมเครื่องเสียงและระบบนำทางลดลงจาก 27 ชิ้นเหลือเพียง 11 ชิ้น
แผงควบคุม Display Command ใหม่บนคอนโซลกลางแบบคาร์บอนไฟเบอร์ แผงควบคุม Display Command ใหม่บนคอนโซลกลางแบบคาร์บอนไฟเบอร์ หน้าจอทัชสกรีนขนาด 8 นิ้ว มีข้อมูลทุกด้านที่ผู้ขับขี่ต้องการในที่เดียวโดยแสดงผลด้วยไอคอนขนาดใหญ่บนหน้าจอ เพื่อเพิ่มความง่ายดายให้ผู้ใช้สามารถควบคุมระบบเครื่องเสียง การใช้โทรศัพท์ และฟังก์ชั่นอื่นๆ ในระบบอินโฟเทนเมนต์
เครื่องยนต์วี 6 ทวินเทอร์โบ 24 วาล์ว ความจุ 3.8 ลิตร (3,799 ซีซี) ให้กำลังสูงสุด 555 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 632 นิวตันเมตร ระบบเกียร์ซีเควนเชียลดูอัลคลัตช์ 6 สปีด สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้ภายในเวลาชั่วพริบตา เพียง 0.15 วินาทีเมื่ออยู่ในโหมด R-Mode ถ่ายกำลังลงพื้นด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
ช่วงล่างด้านหน้าปีกนกคู่ พร้อมปีกนกบนและปีกนกล่างอะลูมิเนียม (ฟอร์จ) ด้านหลังมัลติลิงก์ พร้อมปีกนกบนอะลูมิเนียม (ฟอร์จ)
ระบบเบรกหน้าดิสก์ 4 ล้อ คาลิปเปอร์หน้าแบบ 6 ลูกสูบ คาลิปเปอร์หลังแบบ 4 สูบแบบ Monoblock พร้อมระบบเรเดียลเมาต์ ถ่ายทอดจากสนามแข่ง

ส่วนฟอร์ด “เรนเจอร์ แร็พเตอร์” ที่ผมยกให้เข้ามาปฏิวัติวงการรถยนต์เมืองไทย คืออ็อปชั่นและสมรรถนะต่างๆ ที่ใส่มาชนิดให้ลืมปิกอัพทุกรุ่นที่คนไทยคุ้นเคย
อย่างไรก็ตาม สนนราคาก็ดุดันสมกับหน้าตาเพราะปาเข้าไป 1.699 ล้านบาท เป็นปิกอัพที่แพงที่สุดแล้ว
กระนั้นต้องยอมรับว่ากระแสของ “เรนเจอร์ แร็พเตอร์” ถูกพูดถึงอย่างมากตั้งแต่เปิดตัวใหม่ๆ โดยยังไม่บอกราคา ด้วยความสวยและโด่งดังในต่างประเทศนั่นเอง
จนเมื่อเปิดราคาออกมาอาจทำให้หลายคนถึงกับอ้าปากหวอ เพราะแพงกว่าพีพีวี หรือปิกอัพดัดแปลง และรถเอสยูวีบางรุ่นด้วยซ้ำ
แต่หากดูสเป๊กแล้วต้องบอกว่าสมราคา เนื่องจากหากไม่นับรูปร่างหน้าตาภายนอกแล้ว “เรนเจอร์ แร็พเตอร์” ไม่ต่างจากเอสยูวีชั้นดีแต่อย่างใด
ออกแบบภายนอกด้วยการเลือกใช้สีสันที่ผสานกันอย่างลงตัว ไฟหน้าแบบโปรเจ็กเตอร์ HID ไฟวิ่งกลางวันและไฟตัดหมอกแบบ LED บันไดข้างรถผลิตจากอะลูมิเนียมอัลลอย ล้อขนาด 17 นิ้ว
โลโก้ฟอร์ดสะดุดตาสะกดด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ภาษาอังกฤษ วางอยู่บนกระจังหน้าอย่างเท่ ทำให้ภาพรวมดูดุดันมากขึ้น
แผงกันกระแทกด้านล่างอันเป็นเอกลักษณ์ ช่วยปกป้องห้องเครื่องจากการกระแทกเมื่อขับขี่แบบออฟโรด ผลิตจากเหล็กกล้า หนา 2.3 มิลลิเมตร
เครื่องยนต์ดีเซล Bi-Turbo (เทอร์โบคู่) ขนาด 2.0 ลิตร และเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด กำลังสูงสุด 213 แรงม้า และแรงบิด 500 นิวตันเมตร มาพร้อมโช้กอัพคู่ด้านหน้าและหลังของ Fox Racing Shox พร้อมระบบบายพาสภายใน และระบบกันสะเทือนหลังแบบใหม่ รวมถึงระบบวัตต์ลิงก์และคอยล์โอเวอร์ช็อก ลุยได้ทุกสภาพถนน
เทคโนโลยีระบบ Terrain Management System (TMS) สำหรับการขับขี่ 6 รูปแบบ เทคโนโลยีการตัดเสียงรบกวน ระบบสั่งงานด้วยเสียงซิงก์ 3 บนหน้าจอทัชสกรีนขนาด 8 นิ้ว กุญแจรีโมตอัจฉริยะและปุ่มสตาร์ตรถอัตโนมัติ ประตูท้ายรถเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า ฯลฯ
ถ้าฟอร์ด “เรนเจอร์ แร็พเตอร์” ขายดิบขายดีในระดับหนึ่ง เชื่อว่าจากนี้เราคงเห็นปิกอัพ “พรีเมียม” เข้าสู่ตลาดเมืองไทยมากขึ้นแน่นอน