ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 พฤษภาคม 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | อาชญากรรม |
เผยแพร่ |
กลายเป็นว่าคดีอุ้มคนจีน รีดเงิน 65,000 USDT หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 2,500,000 บาท ที่เป็นข่าวดังอยู่ในช่วงนี้
เป็นความร่วมมือกันของแก๊งจีนเทากับแก๊งตำรวจแตกแถว
มีทั้งตำรวจที่ยังอยู่ในราชการอยู่และอดีตตำรวจ ที่เลือกทิ้งเส้นทางของผู้พิทักษ์สันติราช มาเดินในเส้นทางสายโจร
แก๊ง ตร.อุ้มรีดคนจีน
เรื่องราวของคดีนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 29 เมษายน มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเข้าแจ้งความกับตำรวจ สน.ดินแดง ว่าถูกชายหลายรายอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ บุกอุ้มทั้งหมดไปจากโรงแรมแห่งหนึ่งในซอยประชาสงเคราะห์ 2 พร้อมข่มขู่บังคับให้โอนเงินดิจิทัลมูลค่า 4 ล้านบาท แลกกับการไม่ถูกดำเนินคดี
แต่ผู้เสียหายเห็นว่า แพงมากไม่มีเงินจ่าย อีกฝ่ายจึงเสนอจำนวนเงินเหลือ 3 ล้านบาท และเรื่องจะได้จบ
ผู้เสียหายเกรงว่าจะถูกจับกุม จึงติดต่อหาเพื่อนชาวจีนที่อยู่ในประเทศกัมพูชา โอนเงินมาเข้าบัญชีกระเป๋าเงินดิจิทัลตามที่กลุ่มผู้ก่อเหตุดังกล่าวต้องการ เป็นเงินจำนวน 65,000 USDT (United States Dollar Tether) หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 2,500,000 บาท
เมื่อจ่ายเงินกันเรียบร้อยแล้ว กลุ่มผู้ก่อเหตุได้ปล่อยตัวทั้งหมดกลับมา จึงเข้าแจ้งความ
ต่อมาวันที่ 3 พฤษภาคม พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. สั่งการ พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผบก.น.1 พร้อมด้วยชุดสืบสวนประชุมติดตามความคืบหน้าแนวทางการสืบสวน และรวบรวมพยานหลักฐาน
โดยเฉพาะภาพจากกล้องวงจรปิดภาพในโรงแรมที่พักและบริเวณโดยรอบ ซึ่งเป็นภาพแก๊งคนร้ายระหว่างทำทีมาเปิดห้องพัก ก่อนขึ้นไปเคาะห้องพักชั้น 14 ที่ผู้เสียหายพักอยู่
โดยกลุ่มผู้ต้องหา 3 คน แอบอ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจแสดงบัตรตำรวจให้ผู้เสียหายดู โดยบอกว่าผู้เสียหายทั้ง 5 คน ทำความผิดเกี่ยวกับเครื่องรูดการ์ด
ฝ่ายผู้เสียหายตกใจ และถูกชาย 3 คนบังคับผู้เสียหายชาวจีน 5 คนพร้อมกับหญิงสาวที่อยู่ในห้องอีก 1 คนลงมาด้านล่าง
จากกล้องวงจรปิดพบว่า มีรถยนต์ที่ใช้ในการกระทำผิด 4 คัน ในการนำตัวผู้เสียหายทั้งหมดออกจากโรงแรมขับไปตามถนนวิภาวดีรังสิต
ตำรวจเช็กข้อมูลกระทั่งสามารถออกหมายจับผู้ต้องหาได้ทั้งหมด 3 ราย คือ นายอรรถวุฒิ สุมนรัตนกูล หรือบอส หรือดาบวุฒิ อดีตตำรวจฝ่ายงานสืบสวน สน.คันนายาว, นายธีรชัย เฉลิมวันเพ็ญ และนายนภสินธุ์ นุ่มมาก ในข้อหา “ร่วมกันกรรโชกทรัพย์, ร่วมกันแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานและกระทำการเป็นเจ้าพนักงานโดยตนเองมิได้เป็นเจ้าพนักงานที่มีอำนาจนั้น, ร่วมกันหน่วงเหนี่ยว หรือกักขังผู้อื่นหรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย”
ต่อมาชุดสืบสวนนครบาล 1 สามารถจับกุมตัวดาบวุฒิได้ภายในบ้านพักย่านคู้บอน 33 แขวงรามอินทรา เขตคันนายาว กรุงเทพมหานคร จากการสอบสวนให้การว่าร่วมก่อเหตุจริง แต่มีคนสั่งตนเองมาให้ก่อเหตุอีกทอดหนึ่ง
วันเดียวกัน พนักงานสอบสวน สน.ดินแดง ได้ประสานเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบรถยนต์เบนซ์ อี 300 สีดำ ทะเบียน 8 กส 7770 กรุงเทพมหานคร ของดาบวุฒิ ที่ใช้ในการก่อเหตุ เพื่อค้นหาลายนิ้วมือของกลุ่มผู้ต้องหา และตัวผู้เสียหาย เป็นพยานหลักฐานในสำนวนการสอบสวน
สาวลาวนางนกต่อ
พล.ต.ต.นพศิลป์เผยรายละเอียดเพิ่มเติมว่า ผู้เสียหายชาวจีนเดินทางเข้าเมืองไทยเมื่อวันที่ 19 เมษายน ไปพักที่พัทยาถึงวันที่ 20 เมษายน จากนั้นวันที่ 21 เมษายน เดินทางเข้ามาที่กรุงเทพฯ โดยเข้ามาพักที่โรงแรมในซอยประชาสงเคราะห์ 2 พื้นที่ สน.ดินแดง โดยผู้เสียหายมีเพื่อนมาร่วมพักด้วยรวม 5 คน
ก่อนเกิดเหตุมารวมตัวกันที่ห้องพักของผู้เสียหาย เพื่อรูดบัตรเครดิตเปลี่ยนเป็นเงินสดใช้จ่าย โดยประสานงานให้คนที่รู้จักกันเป็นสาวชาวลาวมาดำเนินการให้ที่ห้องพัก ช่วงเวลา 20.00 น. วันที่ 25 เมษายน จากนั้นไม่เกิน 8 นาที ได้มีกลุ่มคนร้ายรวมตัวกันก่อเหตุที่โรงแรมดังกล่าว
รอง ผบช.น.กล่าวว่า หลังเกิดเหตุกลุ่มผู้เสียหายยังรู้สึกระแวงว่าเป็นตำรวจจริงหรือไม่ จึงยังไม่มีการแจ้งความ กระทั่งในกลุ่มเพื่อนเริ่มติดต่อคนไทยให้รับมอบอำนาจในการแจ้งความ ในวันที่ 29 เมษายน ผู้เสียหายเข้าแจ้งความที่ สน.ดินแดง
ต่อมาวันที่ 1 พฤษภาคม เวลา 20.30 น. ตัวผู้เสียหายได้เข้ามาให้การกับพนักงานสอบสวนและชี้จุดตั้งแต่โรงแรมจนถึงสนามยิงปืน บช.ศ. ขณะที่เพื่อนชาวจีนอีก 4 คนได้เดินทางกลับไปก่อนแล้ว
ชุดสืบสวนได้ทำการไล่กล้องวงจรปิดอย่างครบถ้วน จึงทำการออกหมายจับ 3 รายที่พิสูจน์ตัวตนได้ ก่อนจับกุมดาบวุฒิ อดีตตำรวจ สน.คันนายาว ลาออกไปเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2566 มีประวัติถูกจับกุมข้อหาพยายามลักทรัพย์ คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล
พล.ต.ต.นพศิลป์กล่าวว่า อดีต ด.ต.รายนี้เป็นหัวหน้าแก๊งทั้งหมด โดยในกลุ่มผู้ต้องหามีทั้งหมด 11 คน เป็นข้าราชการตำรวจที่ยังอยู่ในราชการสังกัด บช.น. 2 ราย คือ ส.ต.อ.ภูวเดช เด็กหลี ศูนย์วิทยุผ่านฟ้า 191 ที่จับกุมได้แล้ว และ จ.ส.ต.วีรยุทธ เพชรรัตน์ ผบ.หมู่ จร.สน.พญาไท หรือจ่าแจ๊ค ที่ยังหลบหนี
5 พฤษภาคม ชุดสืบสวนจับกุม น.ส.จารุเนรต ตั้งแช่ อายุ 34 ปี หญิงชาวลาว ที่เป็นนางนกต่อโดยทำทีเป็นถูกจับตัวเพื่อให้กลุ่มผู้เสียหายหลงเชื่อ โดยขึ้นรถคันที่ ส.ต.อ.ภูวเดช เป็นผู้ขับขี่ เมื่อได้เงินจากผู้เสียหายแล้ว ‘จ่าแจ๊ค’ สั่งให้แยกออกไปรอที่โรงแรมแห่งหนึ่งใน ซ.วิภาวดี 60 ร่วมกับนายนภสินธุ์ และ ส.ต.อ.ภูวเดช หลังร่วมกันก่อเหตุสำเร็จ น.ส.จารุเนตรได้รับโอนเงินเข้ามาในบัญชี 350,000 บาท จากนั้นได้โอนต่อให้นายนภสินธุ์ไป 40,000 บาท
จากการสอบปากคำให้การรับสารภาพว่า เป็นลูกน้องของ ‘จ่าแจ็ค’ ซึ่งหลังจากได้รับการติดต่อจากกลุ่มผู้เสียหายชาวจีน จะเตรียมเครื่องรูดบัตรเพื่อไปพบกลุ่มผู้เสียหาย ก่อนได้แจ้งให้ ‘จ่าแจ็ค’ ทราบ และวางแผนในการก่อเหตุ
‘เฮียเก้า’ คนบงการ
คืนวันที่ 6 พฤษภาคม ตำรวจชุดสืบสวนสามารถจับกุมผู้ต้องหาชาวจีนเพิ่มอีก 2 ราย คือ นายจู หลินซู หรือเฮียเก้า และนายหยาง ฉิวเจี้ยน สำหรับพฤติกรรมพบว่า เฮียเก้าเป็นผู้บงการ สั่งการใหญ่ในกระบวนการอุ้มรีดไถ่เพื่อนร่วมชาติ โดยจะเลือกเหยื่อเป็นชาวจีนด้วยกันที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย เมื่อได้เป้าหมายแล้ว จะร่วมกันกับแก๊งตำรวจเข้าดำเนินการ
เมื่อทางผู้เสียหายประสานแก๊งคนลาวเพื่อขอแลกเงินผ่านเครื่องรูดบัตร น.ส.จารุเนตร เตรียมเครื่องรูดบัตรไปพบผู้เสียหาย พร้อมชี้เป้าวางแผนให้แก๊งตำรวจ นำโดย จ.ส.ต.วีรยุทธ และ ด.ต.อรรถวุฒิ จัดทีมร่วมก่อเหตุ ซึ่งมีชาวจีน นายเจียน เปียวอู๋ และนายจู หลินซู ชาวจีน ซึ่งได้สัญชาติไทยแล้วในชื่อนายชยากร ซู ร่วมด้วย
ส่วนนายหยาง พบว่ารับโอนเงินดิจิทัล สกุล USDT จากกลุ่มผู้ต้องหาเข้ากระเป๋าเงินดิจิทัลของตนแล้วทำธุรกรรมแปลงเป็นเงินบาทไทย ก่อนโอนเงินส่งต่อไปยังกลุ่มคนร้ายโดยแบ่งเป็นบัญชี จ.ส.ต.วีรยุทธ 700,000 บาท บัญชีนายนภสินธุ์ 700,000 บาท และบัญชีนายเจียน เปียวอู๋ 748,300 บาท
ทั้งนี้ จากแนวทางการสืบสวนพบว่า คดีนี้มีผู้ร่วมก่อเหตุกันทั้งหมด 11 ราย พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานขอออกหมายจับแล้ว 10 ราย โดยรายที่ 11 จากแนวทางการสืบสวนจากกล้องวงจรปิดและตำหนิรูปพรรณจากคำให้การของผู้เสียหายปรากฏว่าเป็นคนเดียวกัน คือนายณัฐพงษ์ เปาเล้ง ซึ่งยังหลบหนีอยู่
เบื้องต้นตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้แล้วทั้งสิ้น 7 ราย ยังคงหลบหนีอยู่ 3 ราย คือ จ.ส.ต.วีรยุทธ เพชรรัตน์ หรือจ่าแจ๊ค อายุ 34 ปี ผบ.หมู่ จร.สน.พญาไท นายเจียน เปียวอู๋ อายุ 56 ปี โดยนายณัฐพงษ์ เปาเล้ง อายุ 26 ปี มีการประสานขอเข้ามอบตัวกับชุดสืบสวน
ด้าน พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. รรท.ผบ.ตร. ยอมรับว่า คดีนี้ทำให้ตำรวจต้องถอดบทเรียน ทั้งด้านการข่าว การตรวจสอบข้อมูล การคัดกรองคนเข้าประเทศ ได้กำชับตำรวจตรวจคนเข้าเมืองให้เข้มข้น ในการตรวจสอบประวัติบุคคลที่จะเข้าประเทศทั้งหมด และให้กำชับดูแลพฤติกรรมของผู้ใต้บังคับบัญชา รวมไปถึงปัจจัยพฤติการณ์การก่อเหตุ ที่มีการเรียกค่าไถ่ผ่านทางระบบอีวอลเล็ต ก่อนจะแปลงเป็นเงินไทย ซึ่งจะต้องนำไปศึกษาเพิ่มเติมให้ทันยุคสมัยที่เปลี่ยนไป และนำมาป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก
ภายหลังมหากาพย์คดี ‘ตู้ห่าว’ สังคมต่างคิดว่าปัญหาแก๊งอาชญากรรมจีนสีเทาจะบรรเทาเบาบางลง แต่คดีอุ้ม-รีดคนจีนครั้งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า ทุกอย่างยังเหมือนเดิม เพียงแต่ถูกซุกอยู่ใต้พรมเท่านั้นเอง
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022