วางบิล/เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์/สู่ร่มกาสาวพัสตร์ วัตรปฏิบัติ

วางบิล
เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์

สู่ร่มกาสาวพัสตร์

วัตรปฏิบัติ

พระปานรู้สึกหิวก่อนลงมือฉันอาหารเช้า คงเป็นเพราะตั้งแต่มื้อเที่ยงเมื่อวานยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง นอกจากน้ำหวานที่เรียกว่าน้ำปานะ อาหารวางตรงหน้า พระปานเลือกหมี่กรอบ แกงเขียวหวานเนื้อ และกุนเชียงทอด ตักข้าวสองทัพพีฉันจนหมดจาน ยังฉันแกงเผ็ดได้ด้วย
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยกินข้าวเช้ามาก่อน และไม่เคยตื่นเช้า อาหารมื้อแรกของปานคือกาแฟ ไข่ลวก หรือไข่ดาว ขนมปังแบบอาหารฝรั่ง และเฉพาะวันที่ตื่นเช้า หรือไปต่างจังหวัด นอนโรงแรมเท่านั้น
เนื่องจากเป็นห้วงออกพรรษา พระในคณะจึงเหลือเพียง 4 รูป เป็นพระพรรษามากแล้ว 3 รูป รูปหนึ่งคือพระสุชัยที่เพิ่งบวชได้ 3 พรรษา เณรอีก 3 รูป
“เดี๋ยวคุณสุชัยพาพระใหม่ลงโบสถ์ทำวัตรเช้าด้วยนะ อ้อ แล้วอย่าลืมพาไปวิหารฟังเทศน์ด้วยล่ะ วันนี้วันพระใหญ่” พระครูพรหมสั่งพระสุชัยระหว่างฉันภัตตาหาร แล้วชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ตามประสาพระผู้ใหญ่ พระอีกสองรูปร่วมสนทนาด้วย พระสุชัยกับพระปานฟังเป็นส่วนใหญ่
“ไม่บวชสักพรรษานึงหรือ” มหาสวัสดิ์ถาม
พระปานยิ้มตอบ “คงไม่ถึงกระมังครับ”
“นี่เขาต้องทำงาน” พระครูพรหมตอบแทน
กระทั่งอาหารคาวเสร็จ จึงเริ่มของหวานและผลไม้เต็มถาด
“เอ้า เด็กๆ เว้ย มาเก็บสำรับไปกิน” พระครูพรหมเรียกเสียงค่อนข้างดัง ก่อนลุกขึ้นพร้อมหยิบจานติดมือไปล้างเอง พระปานขยับจะขอมา แต่ถูกปฏิเสธ
พระสุชัยตักข้าวใส่จานค่อนข้างพูน บอกกับพระปานว่า “เอาไปให้นกกิน” ก่อนขยับตัวลุกขึ้นเช่นกัน
กระทั่งล้างจาน ล้างปากเสร็จ กลับเข้ากุฏิ ถอดจีวรออกผึ่งบนราวลวด เหงื่อยังซึมทั่วตัว พระปานนั่งพักให้เหงื่อแห้ง ตั้งใจว่าสักพักจะขึ้นไปอ่านหนังสือพิมพ์บนกุฏิพระครูพรหม แต่เหลือบดูนาฬิกาเห็นใกล้แปดโมง จึงลุกขึ้นดึงจีวรจากราวลวดลงมาห่มเฉียงอย่างเมื่อเช้า
เสียงระฆังดังจากอุโบสถ พอดีกับพระสุชัยเดินมาเรียกที่หน้าประตู
“ครับ – ครับ เสร็จแล้วครับ” พระปานร้องบอกขณะม้วนจีวรให้เป็นลูกบวบเตรียมตวัดขึ้นไหล่ซ้าย พอดีกับพระสุชัยโผล่เข้ามาเห็นพระปานเก้ๆ กังๆ จึงเข้ามาช่วยพร้อมหัวร่อ
“สองสามวันก็เก่งเอง”

หนีบลูกบวบหว่างรักแร้ซ้ายแน่น เกรงว่าจะหลุดเสียก่อน หยิบกุญแจปิดประตู ออกเดินตามหลังพระสุชัยไปที่โบสถ์ มีพระเณรยืนในโบสถ์บ้างแล้ว
พระสุชัยชี้ให้ไปยืนแถวหลังสุดต่อจากพระรูปสุดท้าย หน้าแถวเณร ระหว่างที่พระอาวุโสรูปหนึ่งจุดธูปเทียนสักการะพระประธาน เสร็จแล้วจึงถอยมากลางโบสถ์โน้มศีรษะลงไหว้ พระเณรในพระอุโบสถพนมมือ
พระอาวุโสรูปนั้นนั่งคู้เข่ายกมือพนมกล่าวบทสวดมนต์ “อรหังสัมมาสัมพุทโธภควา พุทธังภควันตังอภิวาเทมิ” แล้วกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ คือก้มลงให้ผ่ามือทั้งสองแบราบลงบนพื้น ข้อศอกทั้งคู่ติดกับหัวเข่าทั้งสองข้าง หน้าผากอยู่ระหว่างฝ่ามือติดพื้น เมื่อเสร็จกราบครั้งแรก เงยขึ้นมาว่าต่อ สวากขาโตภควาตาธัมโม ธัมมังนมัสสามิ กราบ สุปฏิบันโนภควโต สาวกะสังโฆ สังฆังนมามิ กราบ
จากนั้นพระอาวุโสนั่งพับเพียบแล้วขึ้นต้นด้วย นโม ตัสสะ ภควโต อรหะโต สัมมาสัมพุทธสะ 3 จบ แปลความได้ว่า
“ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง”
ซึ่งเป็นบทที่พระปานยังสวดตามได้ แต่เมื่อขึ้นบทต่อไปกระทั่งถึงบทพิจารณาปัจจัยสี่ จีวรเครื่องนุ่มห่ม อาหารบิณฑบาต เสนาสนะที่อยู่อาศัย และเภสัชยารักษาโรค พระรูปที่อยู่ข้างเคียงต้องช่วยเปิดหน้าหนังสือแล้วชี้ให้ท่องตามด้วยภาษาบาลี

เมื่อเสร็จพิธีการ จึงคู้เข่าขึ้นกราบเบญจางคประดิษฐ์สามหนอีกครั้ง พระปานรู้สึกมือไม้เก้งก้างติดขัดไปหมด พอกราบหนที่สาม ลูกบวบก็หลุดออกจากบ่า ต้องรวบขึ้นไขว้ไว้บนบ่าซ้ายอย่างทุลักทุเล
เมื่อพระอาวุโสทุกรูปเดินออกจากด้านหน้า พระเณรต่างหลีกให้พระอาวุโสผ่านไปก่อน พระสุชัยเข้ามาช่วยรวบจีวรให้เข้าที่เข้าทางก่อนเดินออกจากโบสถ์กลับกุฏิ เป็นอันเสร็จพิธีทำวัตรเช้า
ยังมีเวลาอีกเกือบชั่วโมงหนึ่ง พระปานขอหนังสือพิมพ์จากพระครูพรหมไปอ่านที่กุฏิ กระทั่งใกล้เวลาเก้าโมงครึ่ง พระสุชัยจึงมาที่กุฏิ
เวลา 09.30 น. ทุกวันพระ ต้องไปเข้าร่วมฟังเทศน์ในวิหาร ซึ่งอยู่หน้าโบสถ์ ครั้งหนึ่ง และช่วง 15.00 น. อีกครั้งหนึ่ง
พระสุชัยเตือนให้นำสังฆาฏิพาดบ่าไปด้วย “หันปากประกบออกด้านนอก”
พระปานเพิ่งรู้ว่า พระกับเณรต่างกันตรงนี้เอง เณรไม่มีสังฆาฏิพาดไหล่ แต่ห่มจีวรเหมือนกัน
ในวิหารฟังเทศน์ พระปานลงนั่งพับเพียบแถวหลังสุดก่อนหน้าเณร ถัดจากนั้นเป็นแถวเป็นที่นั่งของอุบาสกอุบาสิกาที่มาถืออุโบสถศีลแปด หรือศีลสิบ
ก่อนพระเณรเข้ามาทางด้านหลังประตูวิหาร ต้องไปขีดเครื่องหมายหน้าชื่อในสมุด ให้รู้ว่ามาฟังเทศน์ เป็นระเบียบของพระเณรวัดนี้
สักพัก ท่านเจ้าคุณใหญ่ เจ้าอาวาส จึงเดินเข้ามาด้านประตูหลังวิหาร แล้วตรงเข้าไปจุดธูปเทียน นำสวดมนต์ จากนั้นจึงขึ้นไปนั่งบนธรรมาสน์ ให้ศีลแปด มีอุบาสกสูงอายุเป็นผู้กล่าวอาราธนาศีลเสียงดัง อุบาสกอุบาสิกา ชี เป็นผู้รับศีล พระเณรไม่ต้องรับตาม ด้วยพระถือศีล 227 ข้อ เณรถือศีลสิบ
เมื่อให้ศีลจบ เจ้าคุณใหญ่เริ่มคาถา พระเณรพนมมือรับ แล้วท่านจึงเริ่มเทศน์ด้วยคำภาษาไทย
พระปานตั้งใจฟังเทศน์ด้วยการนั่งสมาธิไปในตัว พยายามกำหนดลมหายใจเข้าออกขณะฟังเทศน์ ตั้งใจนั่งพับเพียบข้างเดียวไม่เปลี่ยนข้าง เพื่อให้เกิดความเคยชินจนกว่าจะเทศน์จบ
ท่านเจ้าคุณใหญ่เทศน์เรื่องอานิสงส์ของการบวช คงเป็นเพราะพระปานเพิ่งบวชใหม่กระมัง เขาคิด
เทศน์ที่ท่านเจ้าคุณใหญ่ฟังพอจับใจความได้ว่า ผลานิสงส์ของการบวชมีอย่างไร ชี้ให้เห็นการเข้าถึงหลักธรรมของพระพุทธองค์ที่ต้องการให้มนุษย์หลุดพ้นจากอาสวะกิเลสทั้งปวง
“แม้มีโอกาสเพียงน้อย หากหมั่นปฏิบัติศึกษารับการอบรม ก็เท่ากับได้รับการขัดเกลาจิตใจให้อ่อนโยน ไม่แข็งกระด้าง หยาบกร้าน เห็นถึงบาปบุญคุณโทษ ให้หมั่นละความชั่ว สร้างแต่ความดี และทำจิตใจให้สงบ”
ท่านเทศน์ติดต่อกันด้วยน้ำเสียงน่าฟัง ไม่ติดขัด กระทั่งเวลาผ่านไปชั่วโมงหนึ่งจึงจบ