อนุสรณ์ ติปยานนท์ : จากความหิวโหยสู่อาหาร (จบ)

My Chefs (26) จากความหิวโหยสู่อาหาร (2) 

ย้อนอ่าน ตอนแรก (1)

เขานั่งอยู่เช่นนั้น หยิบก้านเล็กๆ ของใบก้ามปูมาเกี่ยวกันเล่นเป็นการฆ่าเวลา

แต่เวลาก็ดูเหมือนจะไม่ยินยอมให้เขาฆ่าฟันได้ง่ายๆ

มันเคลื่อนที่อย่างเชื่องช้า อืดอาด ราวกับคนชราที่เดินขึ้นสู่ยอดเขา

จริงๆ เขาอยากนอนหลับด้วยซ้ำไป แต่เขากลัวว่าหากเขาล้มตัวลงนอนในยามนี้เขาจะไม่ตื่นขึ้น

ความหิวโหย ความอ่อนเพลีย ความเหนื่อยล้า จะทำให้เขาหลับเป็นเวลาเนิ่นนานแน่นอน

เขายอมแพ้การสอบแต่ไม่ใช่การหลีกหนีการสอบ ถ้าเขาหลับ เขาจะไม่ตื่นขึ้นทันเวลาสอบ และจะมีการออกตามตัวเขา นักเรียนคนอื่นจะเสียเวลา ระบบการสอบจะรวนเร

เขาคิดไปไกลถึงเพียงนั้น สติสัมปชัญญะของเขาเริ่มไม่อาจถูกควบคุมได้อีกต่อไป

เขาต้องการอาหารเพื่อกลับมาสู่ความมั่นคงทางจิตใจอีกครั้ง

แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นความปรารถนาที่เกินเลยไปในยามนี้

เขาพยายามขบคิดว่าครั้งสุดท้ายที่เขารู้สึกหิวโหยนั้นมันเมื่อใดกันนะ

ใช่ในการออกค่ายลูกเสือครั้งล่าสุดไหม ที่เขาและเพื่อนร่วมชั้นถูกนำพาไปจนถึงจังหวัดสมุทรสงครามเมื่อสองปีก่อน

ค่ายลูกเสือเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยฝูงยุงในยามค่ำและภาพดำทะมึนของต้นมะพร้าวจำนวนมากแต่ล้อมรอบค่าย

ครั้งนั้นเป็นการนอนร่วมมุ้งกับบุคคลอื่นเป็นครั้งแรกในชีวิตของเขา

เสียงกรนจากเพื่อนร่วมมุ้งทำให้เขานอนหลับไม่สนิท

เมื่อถึงเวลาเช้ามีเพียงข้าวต้มกับเนื้อหมูสับเป็นเพียงอาหารเช้า ไม่มีไข่ ไม่มีนม ไม่มีน้ำส้ม

แต่กลับมีการฝึกเดินทางไกลเป็นสิ่งติดตามมา

เขาออกเดินตามหลังเพื่อนร่วมหมู่อย่างอ่อนเพลีย ดวงตาสะลึมสะลือ เหงื่อโทรมเครื่องแบบลูกเสือสำรอง

เขาหิวโหยอย่างมากในวันนั้นแต่ก็ไม่ใช่ความหิวโหยอย่างในวันนี้

การเดินทางแม้นจะต้องบุกป่าฝ่าดงไปตามท้องร่องสวน กระโดดข้ามแปลงผัก กิจกรรมเปลืองเรี่ยวแรง กิจกรรมเรียกพลังงาน แต่การรู้ดีว่าสุดขอบของการเดิน ที่จุดสิ้นสุดของเส้นทาง จะมีอาหารจำนวนมากรอเขาอยู่

ครูของเขาประกาศเช่นนั้น เราจะกินอาหารเพียงน้อยเช้านี้ เพื่อไม่ให้การเดินเท้ามีอาการจุก

หลังจากนั้นอาหารมื้อใหญ่จะรอพวกเราอยู่พร้อมทั้งขนมหวาน ขอให้ทุกคนอดทน ขอให้ทุกคนตั้งใจไปให้ถึงเป้าหมายให้จงได้

คำพูดเช่นนั้นของครูปลุกปลอบใจของเขายามเหนื่อยล้า ความหิวโหยที่มีเป้าหมายที่พร้อมจะเติมเต็มเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ความหิวโหยที่แท้จริง

ความหิวโหยที่มีคำมั่นว่าจะถูกขจัดไปในที่สุดไม่ใช่ความหิวโหยที่แท้จริง

เป็นเพียงความรู้สึกท้องว่างธรรมดา

ไม่ใช่ความรู้สึกว่าท้องว่างเปล่าที่ไม่รู้ว่าจะมีสิ่งของตกลงไปในนั้นเมื่อใด

ความหิวโหยในแบบนี้สิที่น่าสะพรึงกลัว ความหิวโหยในแบบที่เขาเผชิญอยู่ในยามนี้สิที่น่ากลัว

น่ากลัวเป็นที่สุด

การรับมือกับความกลัวคือการเผชิญหน้ามัน

ครูสอนศีลธรรมของเขาเคยกล่าวเช่นนั้น

หากกลัวผี กลัวความมืด ก็ต้องหัดเดิน หรือนอนในความมืด

หากกลัวความสูงก็ต้องหัดเดินขึ้นที่สูง ขยับความสูงไปเรื่อยๆ

นั่นคือคำสอนที่ดูจะใช้ได้ผลดีไม่น้อย

เขาทดลองเดินกลับบ้านในความมืดครั้งหนึ่งและเพิ่มเป็นสองครั้ง สามครั้ง เพิ่มจำนวนครั้ง เปลี่ยนเส้นทาง ทำความคุ้นชินกับแสงดาว แสงจันทร์ เขาคลายความหวาดกลัวในความมืดได้ในที่สุด

แต่สำหรับความหิวโหยเล่า

เขาควรเผชิญหน้ามันด้วยวิธีใด

เขาขบคิดเรื่องนี้ก่อนจะพบว่ามีความหวาดกลัวอยู่สองแบบ

แบบแรกคือความหวาดกลัวจากจินตนาการของตนเอง ภูตผี ปีศาจ ความสูง

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ หลายอย่างเป็นเพียงจินตนาการ หากเราได้พบความจริง ได้ทำลายความฟุ้งฝันเหล่านั้นลง มันย่อมไม่มีอิทธิพลต่อเราอีกต่อไป

แต่ความหิวโหยเล่า ความหิวโหยหาใช่จินตนาการ หากแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับร่างกายของเรา เราจะเผชิญหน้ากับความหิวโหยด้วยวิธีใด

มันไม่ใช่เพียงแค่ทำลายจินตนาการแห่งความหิวลง

แต่มันเป็นความจริง

ดังนั้น การเผชิญหน้ากับความกลัวที่เป็นความจริง ของจริง มีรายละเอียดที่แตกต่างออกไป

การต่อสู้กับความหิวโหยมีหลักการเดียวคือต้องหาบางอย่างใส่ท้องให้ร่างกายรู้สึกว่าได้รับการตอบสนองแล้ว เพียงน้อยหรือในปริมาณน้อยก็ยังดี

เพื่อให้รู้ว่าเรามีหนทางรับมือมันได้

และหลังจากนั้นเราค่อยทำให้มันเชื่องหรือเซื่องซึมในกาลต่อไป

เขาได้บทสรุปเช่นนั้นในการต่อสู้กับความหิวโหย ด้วยเหตุนั้น เขาจึงตัดสินใจลุกออกจากที่นั่งบริเวณใต้ต้นก้ามปู เขาเดินออกไปหาก๊อกน้ำในบริเวณใกล้เคียง

โชคดีที่น้ำเป็นของไร้ราคาในโรงเรียน เขาสามารถกินน้ำเท่าไรก็ได้ในโรงเรียนของเขาโดยไม่ต้องชำระเงิน

เขาสามารถกินน้ำในโรงเรียนเท่าไรก็ได้โดยไม่จำเป็นต้องมีเงินทอง

ในโรงเรียนของเขามีโรงน้ำให้นักเรียนทานอยู่สองแห่งด้วยกัน

แห่งแรกที่บริเวณโรงอาหารสำหรับนักเรียนที่ต้องการอดออมหรือประหยัดเงินค่าน้ำหลังมื้ออาหาร ที่นั้นมีรางน้ำขนาดใหญ่ หัวก๊อกทองเหลืองนับสิบ แค่เพียงเอียงคอให้เป็นองศาที่พอเหมาะ ให้น้ำไหลผ่านลงลำคออย่างไม่ลำบาก

นักเรียนคนใดจะกินน้ำมากแค่ไหนก็ย่อมได้

โรงน้ำแห่งที่สองอยู่ข้างสนามกีฬาหลัก หลังการแข่งขันกีฬา ทุกคนย่อมสูญเสียน้ำไม่มากก็น้อย นักกีฬาคนใดจะกินน้ำมากแค่ไหนก็ย่อมได้

โรงเรียนของเขาตั้งอยู่กลางทุ่ง น้ำที่ใช้เป็นน้ำบาดาล เย็นเฉียบ มีรสหวาน และปราศจากกลิ่นสารเคมี

หลายครั้งเขาก็พึงใจที่จะเลือกกินน้ำที่ว่าหลังมื้ออาหารเช่นกันโดยเฉพาะหลังมื้ออาหารที่เค็มเกินไป

เขาพบว่าการดื่มน้ำธรรมชาติหลังอาหารที่มีรสเค็ม น้ำที่ดื่มจะมีรสหวานมากขึ้นอีก

อีกทั้งยังทำให้รู้สึกว่าความเค็มที่ติดอยู่ปลายลิ้นนั้นถูกสลายไปโดยไม่รู้สึกตัวอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม จากตำแหน่งที่เขาอยู่ ระยะทางถึงโรงน้ำทั้งสองดูยาวไกลเกินไป เขารู้สึกอ่อนเพลียและเหนื่อยล้าเกินกว่าจะไปถึงที่นั่นได้

เขามองหาก๊อกน้ำตามทางเดินไปตลอดทาง ในอดีต เขาไม่เคยสนใจก๊อกน้ำเหล่านี้เลย แต่ตอนนี้เขาเชื่อว่ามันต้องมีอยู่ตามทางเดิน โดยเฉพาะทางเดินที่มีต้นไม้ บรรดาคนสวนและแม่บ้านที่มีหน้าที่คอยรดน้ำต้นไม้ย่อมไม่เปลืองแรงไปรองน้ำจากที่ไกลมารดน้ำต้นไม้เป็นแน่

โรงเรียนจะต้องติดตั้งก๊อกน้ำไว้ระหว่างทาง

เขามองไล่ไปตามทางเดินและเขาก็พบก๊อกน้ำหัวทองเหลืองอันหนึ่งที่ติดตั้งอยู่หลังซุ้มต้นเข็ม มีสายยางสีเขียวเสียบติดกับหัวก๊อก มีน้ำไหลออกจากปลายสายยางนั้นไปตามพื้นดินจนพื้นดินที่มีหญ้าคลุมเปียกโชก

เห็นได้ชัดว่าเป็นความตั้งใจของคนสวนที่จะให้น้ำแก่ผืนหญ้าเพื่อรักษาความชุ่มชื้นแก่มัน

เขาตรงไปที่ก๊อกน้ำ นั่งลงกับผืนหญ้า ยกปลายสายยางขึ้นแล้วค่อยๆ ปล่อยให้น้ำจากสายยางนั้นไหลเข้าสู่ลำคอ

น้ำที่ได้มีรสหวานไม่แตกต่างจากน้ำในโรงน้ำ แต่นอกจากรสหวานแล้วมันยังมีกลิ่นของธรรมชาติอีกด้วย

เขาคิดว่าน่าจะมีความแตกต่างระหว่างน้ำจากก๊อกน้ำตรงนี้กับน้ำจากก๊อกน้ำในโรงน้ำ

น้ำจากก๊อกน้ำในโรงน้ำน่าจะมีการกรองอีกขั้นหนึ่ง แต่น้ำตรงนี้ถูกสูบตรงมาจากบ่อบาดาล

เขาได้กลิ่นดิน กลิ่นใบไม้แห่งจากน้ำ มันทำให้เขาสดชื่น มันทำให้เขารู้สึกมีพลังและมีความหวังอีกครั้ง

เขายกสายยางขึ้นอีกครั้งและเตรียมปล่อยน้ำเข้าสู่ลำคอ

แต่แล้ว ในครั้งนี้ใครบางคนปิดก๊อกน้ำที่ว่าลง น้ำไหลออกจากปลายสายยางเพียงเล็กน้อยและขาดหายไป

“ทําไมมากินน้ำแบบนี้ ทำไมมากินน้ำที่นี่ น้ำมันไม่สะอาดเหมือนที่โรงน้ำนะเธอ” หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งพูดกับเขา เธอจ้องมองหน้าเขาในเชิงตำหนิ

เขาจำเธอได้ เธอเป็นหัวหน้าคนงานและแม่บ้านของโรงเรียน

ในยามเช้าเขาจะเห็นภาพของเธอในเสื้อผ้าชุดสีนำเงินเข้มออกเดินตรวจตราความเรียบร้อย ในยามเย็นเขาจะเห็นภาพของเธอควบคุมการปิดประตูโรงเรียนทุกบาน ใครบางคนในหมู่พวกเขาเรียกเธอว่า “ผู้คุ้มกฎ”

เขาเองก็เคยเรียกเธอแบบนั้นเมื่อเห็นความสามารถในการจัดการให้โรงเรียนทั้งโรงเรียนอยู่ในระเบียบ

โดยเฉพาะครั้งหนึ่งเมื่อเธอควบคุมการไล่ผึ้งที่ไปสร้างรังอยู่บนเพดานหอประชุมในช่วงปิดภาค นักเรียนคนอื่น ครูคนอื่น พากันหลบอยู่ในระยะไกล มีเพียงเธอและคนงานอีกสองคนที่ก่อกองไฟ สุมควันและสู้กับผึ้งฝูงนั้นเพียงลำพัง

“หิวครับ” เขาตอบเธอเพียงสั้นๆ “หิว” ผู้คุ้มกฎทวนคำ “แล้วทำไมไม่ไปกินอะไรที่โรงอาหาร?” นั่นเป็นคำถามที่หลังจากพูดออกมา เธอก็คงรู้ตัวว่าเป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ ถ้าไปกินที่โรงอาหารได้ก็คงไม่ต้องมายืนอยู่ริมทางอย่างนี้

“ไม่มีเงินหรือไม่ได้เอาเงินมา?” ครานี้เธอเปลี่ยนคำถาม ไม่ได้เอาเงินมา เขาตอบเพียงสั้นๆ มัวแต่ห่วงการสอบและลืมเอาเงินมา เขาให้เหตุผลเพิ่ม

ผู้คุ้มกฎมองหน้าเขาและพยักหน้า วันสอบใหญ่เช่นนี้ เธอคงเข้าใจ เขาคิด

“โรงอาหารน่าจะปิดแล้ว หรือถึงไม่ปิดก็ไม่น่าจะมีอาหารเหลือ ตามฉันมาสิ ดูทีรึว่าเหลืออะไรในครัวบ้าง”

เป็นครั้งแรกที่เขาพบว่าพวกแม่บ้านและคนงานมีครัวส่วนตัวแยกมาอีกครัวหนึ่ง นอกจากครัวของร้านค้าต่างๆ ในโรงอาหาร เขาเดินตามผู้คุ้มกฎมา ผ่านไปทางโรงเก็บเครื่องมือทางการเกษตร ครัวที่นั่นปลูกบนพื้นดิน เป็นเรือนไม้ชั้นเดียว ข้างในนั้นมีทั้งเตาไฟแบบใช้ถ่านไม้ เตาแก๊ส อุปกรณ์ทำครัว หอม กระเทียม ถูกแขวนเรียงราย ไม่นับตู้เย็นขนาดใหญ่สามสี่ตู้ริมทางเดิน

ผู้คุ้มกฎเปิดตู้เย็นแล้วส่ายหน้า เธอเปิดหม้อข้าวแล้วก็ส่ายหน้าอีก เนื้อสดหมด ข้าวก็หมด หุงข้าวให้เธอน่าจะกินเวลาไม่น้อย เธอพูดกับตนเอง

เอาอย่างนี้ดีกว่า กินของโบราณแต่อร่อยก็แล้วกัน

ว่าพลาง เธอเดินออกไปหยิบปลาช่อนตากแห้งที่กรำแดดอยู่บนกระชุด้านนอกมาหนึ่งตัว เปิดเตาแก๊ส ใช้กระทะต้มน้ำจนเดือดก่อนจะโยนปลาช่อนแห้งชิ้นนั้นลงไป

หลังจากนั้นเธอเปิดหัวเตาแก๊สอีกหัว ตั้งกระทะอีกใบ ใส่น้ำมันแล้วรอจนน้ำมันร้อนแล้วซอยหอมแขกลงไปเจียว กลิ่นของหอมเจียวทำให้ความหิวของเขาทวีคูณขึ้น

เธอปิดเตาน้ำมัน เอาปลาช่อนแห้งออกจากน้ำเดือดแล้วใช้มีดด้ามจิ๋วขูดเนื้อของมันออกมาก่อนจะเอามันลงใส่ครกแล้วตำอย่างละเอียด

เธอเปิดเตาอีกครั้ง เอาเนื้อปลาช่อนแห้งลงทอดกับหอมเจียว

ไม่นานนักเนื้อปลาก็เหลืองฟู เธอช้อนเนื้อปลาทั้งหมดใส่จาน เหยาะน้ำตาลใส่เนื้อปลาและปิดเตาทุกหัว

ก่อนจะเข็นลูกแตงโมขนาดย่อมออกจากมุมหนึ่งของครัว

เธอผ่าแตงโมอย่างชำนาญ คว้านเนื้อแตงโมออกเป็นชิ้นย่อม วางใส่อีกจานหนึ่งแล้วเอาเนื้อปลาแห้งที่เตรียมไว้ราดลงบนเนื้อแตงโม

เธอยื่นช้อนสังกะสีเคลือบสีน้ำเงินให้เขา รีบกินเสีย เดี๋ยวจะไปสอบไม่ทัน

เขาใช้ช้อนที่ได้จากเธอตักแตงโมที่คลุกเคล้าด้วยเนื้อปลาเข้าปาก

มันมีรสชาติที่เอร็ดอร่อยจนเขายังจำมันได้จนถึงทุกวันนี้

ไม่ถึงห้านาที เนื้อแตงโมทั้งลูกที่คลุกด้วยเนื้อปลาก็ถูกเขาจัดการจนหมดสิ้น

เขารู้สึกมีพลังวังชาขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว

เสียงกริ่งเตือนเวลาเข้าสอบดังขึ้น

เขายกมือไหว้ขอบคุณเธอ ก่อนจะวิ่งออกไปยังห้องสอบโดยไม่ทันได้เห็นสีหน้ามีความสุขของผู้คุ้มกฎ

เขาทำข้อสอบในบ่ายวันนั้นได้อย่างดีเลิศ เปี่ยมด้วยความมั่นใจ เปี่ยมด้วยความเชื่อมั่น วิชาแต่ละวิชาถูกเขาพิชิตได้ด้วยพลังงานจากแตงโมและปลาช่อนแห้ง

เขาออกจากห้องสอบในวิชาสุดท้ายและวิ่งกลับไปที่ครัว แต่ไม่มีร่างของผู้คุ้มกฎ เขาเดินออกจากโรงเรียน ไม่มีความหิวโหยในตัวของเขาอีกต่อไป

มีแต่เพียงความทรงจำของอาหารในมื้อนั้น

และการค้นพบว่ามีแต่การปรุงอาหารเป็นเท่านั้นที่จะแก้ไขความกลัวจากความหิวโหยได้ตลอดกาล