ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 9 - 15 มีนาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | ท่าอากาศยานต่างความคิด |
เผยแพร่ |
My Chefs (25)
จากความหิวโหยสู่อาหาร (1)
มันเป็นวันที่หนักหน่วง
เด็กชายมีการสอบตั้งแต่เช้าจรดเย็น
ในช่วงเช้าขณะที่แสงแดดอบอุ่น เขาถูกบังคับให้ต้องวิ่งรอบสนามฟุตบอลหน้าเสาธงรอบแล้วรอบเล่าในวิชาพละเพื่อสอบความแข็งแกร่งของร่างกาย
หลังจากนั่งพักให้เหงื่อแห้งได้สักครู่ เขาเข้าสอบวิชาคณิตศาสตร์
จากสูตรคูณแม่ต่างๆ ที่เขาทบทวนเมื่อคืน เขาใช้มันทำโจทย์เลขข้อแล้วข้อเล่าที่ดาหน้าเข้ามา บัญญัติไตรยางค์ (ชื่อที่เขางุนงงเสมอกับธงไตรรงค์)
เขาทำข้อสอบเสร็จก่อนเวลาแต่กลับไม่อาจออกจากห้องสอบได้ เป็นข้อกำหนดที่ครูคณิตศาสตร์ที่เขาทั้งรักทั้งชังตั้งไว้ว่านักเรียนทุกคนในห้องสอบต้องออกจากห้องในเวลาพร้อมกัน
เขานั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะ ปิดข้อสอบ ท้องของเขาร้องเป็นเวลาเกือบเที่ยงวันแล้ว และเขาพบว่าตนเองยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย
อาหารเช้าที่เขาพกติดตัวมาจากบ้านสูญหายไปแล้วระหว่างทาง
บ้านของเขาอยู่ห่างจากโรงเรียนเพียงช่วงเวลาเดินราวสี่สิบนาที โรงเรียนของเขาเข้าเรียนในเวลาแปดโมงสิบห้านาที
ดังนั้น ย่างเท้าแรกที่เขาจะออกจากบ้านจะต้องเริ่มต้นไม่เกินเวลาเจ็ดโมงสามสิบห้านาทีเพื่อให้ไปทันเวลาฟังเสียงเพลงชาติ
แต่โดยปกติเขาออกจากบ้านเช้ากว่านั้น
เขาตื่นนอนราวหกโมงเช้า ใช้เวลาล้างหน้า แปรงฟัน และชำระล้างร่างกายราวครึ่งชั่วโมง
หลังจากนั้นเขาจะแต่งตัว ใส่เสื้อนักเรียนคอปกสีขาว ที่หน้าอกปักชื่อย่อของโรงเรียนพร้อมหมายเลขประจำตัว (ซึ่งเขาพบในช่วงเวลาต่อมาว่าแม้นักโทษก็มีเครื่องแบบที่ว่าเช่นกัน สังกัดและหมายเลขประจำตัว)
ชื่อย่อและหมายเลขประจำตัวของเขาปักด้วยด้ายสีแดงอันแสดงว่าเขาเป็นนักเรียนของโรงเรียนเอกชน (สิ่งนี้เขาก็ค้นพบภายหลังเช่นกันเมื่อย้ายโรงเรียนในเวลาต่อมา)
กางเกงนักเรียนขาสั้นของเขาเป็นสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นสีที่ซีดจางในเวลารวดเร็วจนเขาอดคิดถึงกางเกงสีกากีของนักเรียนจากโรงเรียนวัดใกล้ๆ ว่ามันดูทนทานกว่ามาก
หลังจากนั้นเขาจะตรงไปที่กองหนังสือเรียนซึ่งกองอยู่หัวนอนของเขาซึ่งทำจากฟูกขนาดเล็ก เขาจะตรวจสอบตารางเรียนซึ่งถูกจดลงในกระดาษแข็งและติดไว้ข้างฝา ตรวจสอบวิชาในแต่ละวัน
เขาเริ่มต้นจัดหนังสือเรียนประจำวิชาลงกระเป๋าเรียนสีดำซึ่งทำจากพลาสติกเทียมทีละเล่ม ก่อนจะตามมาด้วยสมุดจด สมุดรายงาน สมุดการบ้าน (ซึ่งทั้งหมดนี้รวมอยู่ในสมุดเล่มเดียวกัน)
ดินสอและปากกาหมึกแห้ง ยางลบ กบ ไม้บรรทัด ถูกเขาบรรจุลงในกระเป๋าเป็นลำดับต่อไป
เขายังอยู่เพียงแค่ชั้นประถมสี่และยังไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ปากกา
กระนั้นเขาก็พึงใจที่จะมีปากกาสีน้ำเงินและสีแดงพกติดตัวไว้
เขาชอบความรู้สึกของปากกาที่เมื่อเขียนแล้วลบล้างได้ยาก นอกจากการขีดฆ่า การขีดฆ่าทำให้เขารู้สึกว่าตนเองเป็นผู้ใหญ่
เขาได้ความรู้สึกนี้มาจากการล้มป่วยอย่างหนักเมื่อปีกลาย
เขาป่วยเป็นไข้ไทฟอยด์และต้องล้มหมอนนอนเสื่อเป็นเวลานาน น้ำหนักของเขาลดฮวบฮาบ จนเมื่อถึงเวลาที่เขาหายป่วย เขาก็พบว่าเขาเปลี่ยนจากเด็กชายร่างจ้ำม่ำเป็นเด็กชายผอมบาง น้ำหนักของเขาหายไปกว่าค่อน (และมันแทบไม่เคยเพิ่มเติมขึ้นอีกเลยหลังจากนั้น ไม่ว่าเขาจะพยายามกินอะไรมากเท่าใดก็ตาม)
การป่วยครั้งนั้นของเขาติดตามมาด้วยการถูกบังคับให้ต้องกินอาหารที่ทำจากเครื่องในสัตว์เพื่อเสริมเพิ่มเติมธาตุเหล็กในตัว
และทำให้เขาโปรดปรานอาหารที่ทำจากเครื่องในสัตว์นับแต่นั้นมาทั้งที่ในตอนแรกเขาเกลียดรูปลักษณ์และกลิ่นของมัน
แต่การถูกบังคับให้ไม่อาจทานอาหารอย่างอื่น ทำให้เขาชอบมันได้ในที่สุด
ตับหมูทอดกระเทียมพริกไทย เลือดหมูผัดกับใบโหระพา เครื่องในไก่ผัดขิง สารพัดประดามีที่เขายังถือว่ามันเป็นเมนูโปรดปรานจนเวลานี้
พ้นจากเมนูเหล่านั้นแล้ว การขีดฆ่าคืออีกหนึ่งร่องรอยแห่งความจดจำของโรคภัยครั้งนั้น
เขากล่าวถึงการขีดฆ่าเพราะมันเป็นสิ่งที่น่าจดจำ
ปู่พาเขาไปพบหมอกลางดึกในคืนนั้นหลังจากที่เขามีอาการถ่ายไม่หยุด
หมอที่ปู่พาไปเป็นหมอประจำหมู่บ้าน เขาจำได้ว่าคลินิกของหมอเปิดให้บริการเมื่อสองหรือสามปีก่อนหน้านั้นและเขาเคยใช้บริการของหมอด้วยอาการหกล้ม ฟกช้ำดำเขียวธรรมดา
แต่ครานี้ เขามีทั้งอาการอาเจียนและอาการขับถ่ายที่แทบจะใช้คำว่าหมดไส้หมดพุง
ปู่ทุบประตูบานม้วนหน้าคลินิกหมออย่างไม่เกรงใจรอบแล้วรอบเล่า มันน่าจะเป็นเวลาใกล้เที่ยงคืนแล้ว
เสียงทุบประตูของปู่ปลุกเพื่อนบ้านข้างเคียงของหมอให้เปิดไฟสว่างไสวขึ้น แต่หมอก็ยังไม่ปรากฏตัว
เขาเอาแขนโอบคอของปู่ไว้และทิ้งตัวอย่างหมดแรงบนแผ่นหลังของปู่
การรอคอยเช่นนั้นดูยาวนานมาก จนในที่สุด หมอก็เปิดประตูและเลื่อนประตูบานม้วนขึ้น เมื่อเห็นสภาพของเขา หมอในอาการงัวเงียก็เปลี่ยนเป็นคนกระฉับกระเฉงขึ้นทันใด
เขาถูกนำตัวไปวางบนเตียง ถูกถอดเสื้อ ถูกตรวจด้วยหูฟัง น้ำเกลือ และยาถูกนำเข้าไปในร่างกาย
มีหลายสิ่งเกิดขึ้นในคืนนั้น แต่สิ่งที่เขายังจดจำได้ไม่มีวันลืมคือใบสั่งยาของหมอที่ถูกขีดฆ่ารอบแล้วรอบเล่าจนมันราวกับเป็นเอกสารโบราณ
ปู่รับใบสั่งยานั้นและนำมันไปซื้อยาจากร้านขายยาในวันรุ่งขึ้น
เขาหายจากโรคในเวลาต่อมา
ดังที่กล่าว น้ำหนักไม่เพิ่มขึ้นและหลงใหลในการขีดฆ่าข้อความด้วยปากกานับแต่นั้นมา
หลังใส่อุปกรณ์การเรียนลงไปในช่องด้านหน้าของกระเป๋า เขาจะปิดกระเป๋านักเรียนลง
กระเป๋านักเรียนของเขาเป็นแบบมีกระเป๋าสองใบด้านหน้าและมีช่องด้านในกระเป๋าสามช่อง
ช่องแรกเขาจะใส่หนังสือเรียน
ช่องกลางเขาจะใส่สมุด
ส่วนช่องสุดท้ายเขาจะใส่สิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเรียน อาทิ หนังสือนิทานที่เขาอ่านค้างอยู่หรือสมุดร่างภาพตัวการ์ตูนที่เขาริวาดเพื่อหวังจะเป็นนักวาดการ์ตูนที่มีชื่อเสียงในอนาคต
เขาจัดกระเป๋าแบบนี้ทุกวัน จัดมันจนเป็นกิจกรรมประจำวันและเป็นกิจกรรมที่เพื่อนของเขาหลายคนเห็นว่ามันไร้สาระสิ้นดี
ทำไมเราต้องเอาหนังสือเรียนออกจากระเป๋าในเมื่อเราต้องเอามันกลับเข้ามาอีกครั้งอยู่ดี ทิ้งมันไว้ในนั้นแหละ เพื่อนนักเรียนคนหนึ่งของเขากล่าว
ซึ่งเขาก็เห็นด้วย เพื่อนของเขาหลายคนจัดกระเป๋าเรียนแค่เพียงครั้งเดียวเมื่อตอนเปิดภาคการศึกษา และทิ้งทุกอย่างไว้ในนั้น
อาจเอาหนังสือและสมุดออกมาทำการบ้านก่อนจะนำมันกลับลงไปใหม่อีกครั้ง
กระเป๋าของพวกเขาอ้วนกลม หนักอึ้ง แลดูเหมือนเด็กน้อยที่กินจุอย่างยิ่ง
ในขณะที่กระเป๋านักเรียนของเขาผอมบาง ผอมบางเหมือนกับร่างกายของตัวเขาเอง
แต่ในเช้าวันนั้น ในเช้าวันสอบวันนั้น เขาไม่มีเวลาจัดกระเป๋าดังกล่าว การมุมานะท่องหนังสือจนดึกดื่นของคืนก่อนทำให้เขาตื่นขึ้นในเวลาเกือบเจ็ดนาฬิกา
เขารีบเร่งล้างหน้า แปรงฟัน อาบน้ำ เขารีบเร่งแต่งเครื่องแบบ
เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะกินอาหารเช้าที่ถูกเตรียมไว้ให้
ย่าทำแซนด์วิชให้เขาคู่หนึ่ง
เขาคว้าแซนด์วิชคู่นั้นที่ถูกห่อในกระดาษทิชชู่และยัดลงไปในช่องกระเป๋าก่อนจะพบว่าเมื่อเขาวิ่งมาถึงโรงเรียนทันเวลาเคารพธงชาตินั้น
แซนด์วิชคู่ดังกล่าวได้ตกหล่นสูญหายไปแล้ว
เคราะห์กรรมของเขากับอาหารดูจะยังไม่จบสิ้นลง
เขาส่งข้อสอบคณิตศาสตร์เมื่อหมดเวลา และตรงไปยังโรงอาหาร เขาคิดถึงเส้นหมี่ลูกชิ้นเนื้อสดที่มีราคาเพียงชามละห้าสิบสตางค์แต่อิ่มท้องเหลือเกิน
เขาคิดถึงข้าวราดไข่พะโล้สีน้ำตาลข้นคลั่กและกุนเชียงทอดที่มีราคาเพียงจานละหนึ่งบาทและไอศกรีมตราเป็ดที่จะปิดท้ายความหิวโหยทุกอย่างของเขา
เขาได้เงินมาโรงเรียนถึงวันละสองบาท เป็นจำนวนเงินที่มากไม่น้อยสำหรับนักเรียนตัวเล็กๆ อย่างเขา ซึ่งโดยปกติเเล้วเขาจะใช้เงินในเวลาเที่ยงวันไม่เกินหนึ่งบาทและออมที่เหลือไว้สำหรับร้านค้าย่อยจากเหล่าพ่อค้าเร่หน้าโรงเรียนในยามเย็น
โรตีสายไหมที่หยิบจากปี๊บที่มีเข็มหมุน ไอติมแท่งเหล็ก มะกอกดอง ไก่ปิ้ง ทั้งหมดนี้มีราคาเพียงหนึ่งสลึง
เงินที่เหลือเขาจะซื้อของเล่นที่เขาพอใจ ไพ่รูปการ์ตูน ตัวตุ๊กตาเล็กๆ ที่ใช้ทอยระหว่างเส้น ลูกหินหรือแม้แต่รถพลาสติก
แต่วันนั้นเขาตั้งใจจะใช้เงินสองบาทซื้ออาหารกินให้หมด
ร่างกายของเขาบอกว่ามันต้องการอาหารในปริมาณมากเพื่อชดเชยสิ่งที่เขาขาดหายไปในยามเช้าและเพื่อรับศึกหนักจากการสอบในยามบ่าย
แต่เมื่อเขาล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อค้นหาเหรียญบาทสองเหรียญนั้น สิ่งที่เขาพบมีเพียงแต่ความว่างเปล่า
ไม่ใช่แต่แซนด์วิชคู่นั้นที่เขาทำตกหล่น เขายังหลงลืมหยิบเงินจากโต๊ะอาหารของที่บ้านอีกด้วย
มันช่างเป็นวันที่หนักหนาสำหรับเขาเหลือเกิน
เขายืนมองเพื่อนร่วมชั้นเบียดเสียดกันซื้ออาหาร ในใจหนึ่งเขาอยากขอยืมเงินจากใครสักคน
แต่เขารู้ดีว่าไม่มีเพื่อนร่วมชั้นคนไหนพกเงินมามากพอสำหรับการนั้น
ทุกคนมีรายรับอันจำกัด และอีกอย่างกว่าที่เขาจะทันคิดได้ว่าเขาควรจะขอยืมใคร อาหารแทบทุกร้านก็หมดลงแล้ว
วันนี้เป็นวันสอบปลายภาค นักเรียนทุกคน นักเรียนทุกชั้นต้องการพลังงานอย่างยิ่งยวด น้ำเปล่าจากก๊อกน้ำกลางที่เขาบิดคอก๊อกให้น้ำในนั้นพุ่งเข้าปากเขาได้อย่างถนัดถนี่เป็นอาหารมื้อแรกของเขาในวันนั้น
เขาเดินออกจากโรงอาหาร ตรงไปที่สนามฟุตบอลหน้าโรงเรียน
อีกชั่วโมงกว่าการสอบในภาคบ่ายจะเริ่มต้นขึ้น นักเรียนคนอื่นจับกลุ่มกันเก็งข้อสอบที่จะมี แต่เขาไม่มีใจสู้กับการสอบนั้นเสียแล้ว คำว่าน้ำลูบท้อง กองทัพเดินด้วยท้อง ผุดขึ้นในความคำนึงของเขา
ถ้อยคำทั้งหลายที่เกี่ยวกับอาหารผุดขึ้นในความคำนึงของเขา ตั้งแต่ถ้อยคำที่เกี่ยวข้องกับอาหารอย่าง อดเปรี้ยวไว้กินหวาน ข้าวใหม่ปลามัน จนถึงถ้อยคำที่ไม่เกี่ยวข้องกับอาหารแต่เกี่ยวข้องกับการกินอย่าง น้ำมาปลากินมด น้ำลดมดกินปลา หรือ ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน ก็ยังผุดขึ้นด้วยซ้ำไป
เขานั่งพิงลำต้นก้ามปูหน้าโรงเรียน เป็นครั้งแรกที่เขาตระหนักว่าความหิวโหยนั้นน่ากลัวเพียงใด
มันทำให้คนเราสูญสิ้นกำลังใจ ความใฝ่ฝัน และพลังนานา เขานั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นไม่มีเรี่ยวแรงจะทำสิ่งใดเฝ้ารอให้เวลาสอบมาถึง
ซึ่งเขารู้ดีว่าผลของมันคงเป็นเช่นไร เขาคงส่งกระดาษเปล่า ไม่มีคำตอบใดๆ ในกระดาษเหล่านั้น
มีแต่ความว่างเปล่า
ความว่างเปล่าแบบเดียวกับที่เขารู้สึกในท้องของตนเอง