การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ หยาดเหงื่อของฉัน

“โว้ย!”

ยินเสียงผรุสวาท พร้อมกับของสิ่งหนึ่งขว้างเข้าใส่ผนัง

เสียงดังปุบ

ฉันรีบผุดลุกทันที เพราะนั่นคือหนังสือเล่มหนึ่ง

“พี่โฟ!” อดเสียงดังไม่ได้ “พี่ขว้างของฉันทำไม!”

“อะไร!”

ยังทำหน้าเหมือนไม่รู้ความ ก่อนจะลดเสียงลงหน่อย เมื่อเห็นฉันรีบถลาเข้าไปคว้าหนังสือเล่มหนาขึ้นอย่างรวดเร็ว

“อ้อ ก็ไม่เห็นมีอะไร…แค่หนังสือ”

“แค่หนังสือ!” ฉันทวนคำสวนไป “…แล้วพี่รู้มั้ย หนังสือเอาไว้ทำอะไร…เอาไว้อ่าน!”

มีแรงอัดขึ้นมาอีกเต็มอก เมื่อพูดคำนั้นออกไป

“พี่ไม่อ่านฉันก็ไม่ว่า แต่มีสิทธิ์อะไรมายุ่งของคนอื่น!”

“โอ้ยๆๆๆ!” พี่โฟแผดเสียงบ้าง “สิดเสิดอะไรของมึง กะอีแค่กระดาษ ขว้างมันเท่านี้มีเจ็บมีตายมั้ย! มึงมันผีบ้า หวงหนังสือยังกะหมาหวงลูก!”

“ก็พี่มายุ่งของฉันทำไม”

“กูไม่ได้ยุ่ง!”

“ไม่ได้ยุ่งยังไง! ก็เห็นอยู่ว่าพี่เขวี้ยงหนังสือฉันทิ้ง!”

“กูไม่ได้ทิ้ง! แค่มันอยู่ใกล้มือเท่านั้น”

“มันไม่ใช่ของควรจะเอาขว้าง”

“โว้ย!!!” พี่โฟขึ้นเสียงจนดังลั่นห้อง “มึงจะอะไรกับกูนักหนา! กูแค่อยากระบายอารมณ์บ้าง อย่ามาทำเป็นหมาบ้าหมาว้อใส่กู!”

ฉันยืนกำหมัดแน่นอยู่ รู้สึกขึ้นในตอนนั้นจริงๆ ว่า ความโกรธจนหูตาพร่าพรายเป็นยังไง นี่มันเป็นเวรกรรมมาแต่ชาติปางไหน แค่เรื่องไม่เป็นเรื่อง ก็ต้องเป็นเรื่องกันอยู่อย่างนี้

ทุกวี่วัน…

แต่คงเห็นฉันยังยืนนิ่งอยู่ และคราวนี้ ส่งสัญญาณอย่างแรงกล้าว่า ไม่อยากจะทนอีกต่อไป เป็นยังไงก็เป็นกัน

คนหัววอกอย่างพี่โฟก็พลันเปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็ว

“เออ! เอาเป็นว่ากูจะไม่ยุ่งของมึงอีกแล้ว…จบมั้ย”

 

มันคงไม่มีวันที่เราจะดีกันได้มากกว่านี้ เป็นความรู้สึกรุนแรงที่พุ่งขึ้นมา กี่ครั้งกี่หน ที่เรากัดกันเหมือนหมา และพากันวนเวียนอยู่กับฉากชีวิตซ้ำๆ โง่ๆ เหมือนในขณะนี้

แต่คนอย่างพี่โฟ ก็มีวิธีเอาตัวรอดได้อีกอยู่ดี

“กูทนทำอิดแทบตาย แต่ไม่ได้อะไรขึ้นมาสักอย่าง”

นั่นไง รูดหลังลงนั่งอย่างเก่า และทำราวแขนขาอ่อนเปลี้ยไปหมด เหงื่อซ่ก หน้ามันย่อง

ร่องรอยของความเหน็ดเหนื่อยผุดขึ้นจากผิวอันหมองโทรมถนัดตา

…ซึ่งมันน่าเจ็บใจ เพราะต่อให้รู้ว่า จะเป็นละครอีกตอนหนึ่ง เหมือนหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา ทว่า มันก็มาจากเรื่องจริงด้วยเช่นกัน

“กูไม่รู้จะทนทำไปทำไมแล้ว ขายได้ขายดี แต่ไม่มีสตางค์เหลือสักวัน!”

“มันไปไหนหมดล่ะ”

อดจะต่อคำด้วยไม่ได้ พลางลูบไล้บนมุมสันหนังสือ…เธอคือเพื่อนของฉัน

“จะไปไหนเล่า ก็เอามาจ่ายค่าร้าน ค่าหอ น้ำไฟ ไหนจะของที่แปะเชื่อมาอีก อะไรๆ ก็แพงฉิบหาย! ขนาดกูเอาของถูกๆ มาทำขายก็ยังแทบไม่ได้กำไร ได้มาก็หมด มึงตาบอดหรือยังไงอีพี่!”

นับหนึ่งถึงสิบอีกเป็นหนที่พัน ฉันควรจะเดินออกไปจากห้องนี้เสียที

“แล้วทุนที่ยืมฉันไป…”

“ไม่มีแล้ว”

“อ้าว พี่!”

ก่อนหน้านี้ ใบแดงหลายใบก็หลุดไปจากกระเป๋าของฉัน “เอามาให้กูหมุนก่อน” พี่โฟว่าอย่างนั้น นอกจากจะเรียกร้องเอาแรงงานของฉัน ยังไม่พ้นจะต้องช่วยการเงินอีก

ไม่ให้ก็ไม่ได้ ตั้งกระทะคาไว้ น้ำมันหมด แก๊สหมด และทุกอย่างในโลกนี้ล้วนต้องมีเงินแลกเปลี่ยน

“มึงจะให้กูทำยังไง! ในเมื่อมันขายแล้วขาดทุนหยั่งนี้ กูก็ทำดีที่สุดแล้วนะ! ใช่จะงอมืองอเท้าเอาเงินจากน้ำ_ีมึง!”

อีกแล้ว…ในที่สุด พี่โฟก็พูดมันออกมาอีกแล้ว

เหมือนๆ จะพักรบกันไปได้ แต่ก็ไม่…มีหนามแหลมมากมายในปากน่าชังนั้น

 

“ดีๆ…ดี…”

เสียงครางกระเส่าออกมาจากลำคออวบหนา กลิ่นเหงื่อเสียดเข้าในโพรงจมูก และความฉุนของคราบไคล ฉันอยู่ในท่าคุกเข่าอีกพักใหญ่ กว่าจะได้ถอนใบหน้าออก

“เยี่ยมจริงๆ” ปากพ่นลมออกมา ใบหน้าแดงด้วยความพอใจ

“วันนี้ทำดีพิเศษ อยากได้อะไรจากเฮียหรือเปล่า”

“ไม่เห็นต้องถาม” ฉันว่า

มีเสียงหัวเราะอย่างถูกใจ

“กลับมาเก่งอย่างเก่าแล้วสิ…ดี! พยศมากๆ เฮียชอบ”

ฉันลุกจากพื้น แขนแข็งแรงรีบโอบรับให้นั่งบนเตียงด้วยกัน และคาดไว้ ต้องบีบแรงๆ บนเนินนมหลายครั้งอย่างเคยมือ

“จะเอาอีกเท่าไหร่”

ปากงับเข้าที่ใบหูของฉัน

“จริงๆ จะไม่ให้ก็ยังได้ ยังไงก็เป็นของเฮียแล้ว”

“ถ้าไม่ให้ฉันก็ไม่อยู่”

“จะไปไหน…” ลากเสียง พร้อมกับลากริมฝีปากไปบนต้นคอฉันด้วย “อ้อ แทนตัวเองว่าหนูสิ…อย่าพูดว่าฉัน”

ฉันนิ่งเงียบ

พักใหญ่ ถึงพูดออกไป

“ถ้าจะไปจริงๆ ก็ไปได้ ยังไงก็มีที่ไป”

“จะไปเพื่ออะไรเล่า อยู่กับเฮียแบบนี้ดีที่สุดแล้วนี่”

“ไม่จริง…”

“จริงสิ…เอ้า…อ้าปาก”

ใบแดงหลายใบ สอดเข้ามาในปากของฉันอีกครั้งหนึ่ง เงินมีรสชาติอย่างนี้เอง เค็ม และสาบเหม็นเสียเต็มประดา

ทว่า มันก็คือสิ่งที่พวกเราทุกคนต้องการ

แต่ก็อาจจะยังดีที่ตัวฉัน…ยังพอจะหาความหฤหรรษ์จากมันได้บ้าง

ใช่…ควรจะต้องได้บ้าง แม้มันจะน่าชิงชังพอๆ กัน

 

“วันนี้จะให้เอาท่าไหน”

เสียงกระซิบข้างหู ฉันรู้ดีว่า ยังต้องอยู่กับเวลาอีกนานยาว จากนี้ไปจนบ่าย นายจ้างคนนี้ชอบนักที่จะทำกันตอนไหนก็ได้

มืดหรือสว่างอย่างไร ไม่เคยเป็นเงื่อนไขสักอย่าง

“ยังไงก็ได้”

“วันก่อนเจ็บมั้ย”

มีตลกร้าย บางวันฉันก็เจ็บมาก บางวันก็อยากจะโหยไห้มากกว่าจะเห่าหอน แต่สุดท้าย ละครก็ต้องดำเนินไปเหมือนกัน

บางที ฉันกับพี่โฟ ไม่รู้ใครโง่กว่าใคร

“หนูขออีกห้าร้อยได้มั้ย”

“บอกเฮียก่อนสิ อยากให้ทำท่าไหน”

“…อยากให้…เอ่อ…”

พี่โฟทำยังไง ถึงพลิกบทตัวเองได้อย่างรวดเร็วเช่นนั้น…ฉันควรจะเรียนรู้มันด้วยใช่มั้ย

ตอแหลกันไปให้ถึงที่สุด

“หนูอยากจะย้ายหอใหม่ ไม่อยากอยู่กับพี่เขาแล้ว”

“ดีสิ” เสียงห้าวตอบสนองทันควัน “มาอยู่ด้วยกันกับเฮียที่นี่เลยสิ”

“…ไม่ หนูอยากอยู่คนเดียวมากกว่า”

“จะอยู่คนเดียวไปทำไม…หรือจะให้พี่เธอมาอยู่ที่นี่ด้วยกัน”

“ไม่” ฉันรีบปฏิเสธทันควัน “ต่างคนต่างอยู่ดีกว่า”

“งั้นก็ตามใจ…แต่บอกเฮียมาก่อน อยากให้เอาแบบไหน”

 

ยังไม่มีความชื้นเกิดขึ้นเลยในร่างกาย แม้จะวูบวาบบ้าง เวลาปลายลิ้นไล่ไล้ไปตามไรผม นายจ้างมีความชำนาญ ฉันรู้ดี และรู้ด้วยว่าร่างสูงใหญ่มีวิธีชักจูงครอบงำฉัน แต่การปล่อยตัวปล่อยใจ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

หากคงต้องพยายาม

มันคือทางสายเดียวในตอนนี้

ทางเดียวที่ฉันจะสะสมใบแดงได้เพียงพอ

พอที่จะทำอะไรๆ ได้

…แค่เพียงอนุญาตให้ร่างกายอื่น เข้าถึงร่างกายของฉัน

“…พี่คะ” ฉันเหนี่ยวคอขึ้นกระซิบ “…ทำให้หนูที”

“ตรงไหน”

ฉันจะทำยังไง ให้หน้าแดงเปล่งปลั่งอย่างขวยอาย…มันทำยากไม่ใช่เล่น แต่ก็จำเป็นต้องหัดมัน

“…ตรงนั้นค่ะ”

“พูดออกมาให้ชัดๆ สิ…ตรงไหน”

“พี่คะ!”

ฉันกระชากเส้นผมดำหนานั่น และผลักหัวนั้นเสือกไสลง เสียงหัวเราะด้วยความพึงพอใจ มือแข็งเหมือนคีมรีบง้างขาฉันออก

“…จะบอกเฮียหรือยัง”

“อย่าแกล้งหนูสิคะ!” ฉันจะต้องสั่นไหวให้เหมือนใบไม้ที่โดนพายุฝน

นายจ้างชอบให้ฉันทุรายทุรน ครวญคราง สะท้านสะเทือนไปทั้งร่าง…ฉันจะต้องสร้างความปรารถนาเหล่านั้นมาให้ได้

“…” กรอกคำพูดใส่เข้าไปในหู เป็นคำตรงๆ หยาบคาย คำเดียวกับที่พี่โฟมักใช้ด่าฉัน

แต่คำเดียวกันนั้น ก็ทำให้ฉันได้ใบแดงมาจริงๆ

“เฮียจะซดแล้วนะ”

“ค่ะ! ค่ะ!…ทำหนูเลยค่ะ ทำเลย!”

 

ปลอกคอเหล่านั้นไม่เคยนุ่มนวลหรอก มีแต่จะแข็งกระด้างเกินไป

แต่ในโลกที่เราต้องใช้ใบแดงกับทุกสิ่งทุกอย่าง ระหว่างการขายอาหารของพี่โฟ กับการขาย_ีของตัวฉัน เมื่อหยาดเหงื่อของฉันได้ราคากว่าเนื้อสัตว์ผัดกะเพรา

อะไรเล่าจะทำให้ไม่ขายมัน