ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 2 - 8 มีนาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | ท่าอากาศยานต่างความคิด |
เผยแพร่ |
My Chefs (24)
“เพราะอาหารคือวัตถุดิบ เพราะอาหารคือสิ่งเดียวกับวัตถุดิบที่ใช้ทำ อาหารที่ดีต้องมาจากวัตถุดิบที่ดี ถ้าเราใช้วัตถุดิบที่ไม่ดี เราจะไม่มีวัน เราจะไม่มีทางได้อาหารที่ดีเลย”
คำพูดของพี่เยาว์ หรือ เยาวดี ชูคง ทำให้ผมนึกถึงการต่อสู้ของ แดน บาร์เบอร์-Dan Barber และไร่บลูฮิลล์-Blue Hill at Stone Barns ใน นิวยอร์ก (นอกจากนี้ เขายังเขียนหนังสือ The Third Plates อันเป็นหนังสือคู่เคียงกับ Food ของ ไมเคิล พอลเลน)
แดน บาร์เบอร์ นั้นได้รับกรรมสิทธิ์ในไร่บลูฮิลล์อันเคยเป็นฟาร์มโคนมของตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์มาก่อน
แต่เขากลับไม่ได้ยึดมั่นในการทำเกษตรเพื่อขายหรือสร้างกำไรในแบบดั้งเดิมอีกต่อไป
เขาเปลี่ยนไร่บลูฮิลล์ให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านการเกษตรอินทรีย์
เป็นแหล่งทดลองการเพาะปลูกทางเกษตรอินทรีย์
เป็นศูนย์กลางวัตถุดิบของร้านอาหารบลูฮิลล์ของเขาพื้นที่กว่าแปดสิบเอเคอร์หรือสามแสนกว่าตารางกิโลเมตรของไร่บลูฮิลล์ไม่ได้ถูกทิ้งให้เป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่าเพื่อเลี้ยงดูวัวนมอีกต่อไป
มันกลายเป็นพื้นที่แห่งความหวัง พื้นที่แห่งความหวังแห่งการเกษตรอินทรีย์ในโลกอนาคต
ในส่วนของพืชพันธุ์การเกษตรนั้น ไร่บลูฮิลล์จัดสรรพื้นที่ไว้ราวหกเอเคอร์หรือสองหมื่นกว่าตารางเมตร
ระบบการปลูกพืชหมุนเวียนที่นี่เต็มไปด้วยพืชผักกว่าสองร้อยชนิด
มีทั้งผักอย่างคะน้า กวางตุ้งที่ใช้ปรุงอาหารจีน
เฟนเนลสำหรับใช้ในอาหารยุโรป
ข้าวโพดสำหรับใช้เลี้ยงสัตว์
ไร่บลูฮิลล์ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี
วิธีเดียวในการเร่งผลผลิตคือการปรับปรุงคุณภาพดินให้สมบูรณ์ที่สุด
ทุกหกเดือนจะมีการตรวจสอบคุณภาพดิน มีการประเมินคุณภาพดินและปรับปรุงดินให้ดีขึ้นในทุกวิถีทาง
แดน บาร์เบอร์ ในฐานะเชฟและผู้ที่เชื่อว่าอาหารที่ดีนั้นจำต้องมาจากวัตถุดิบที่ดี (ซึ่งพี่เยาว์ก็เชื่อมั่นในแนวคิดนี้เช่นกัน) กล่าวว่า ไร่ปศุสัตว์ทั่วสหรัฐอยู่ในสภาพที่ดินมีคุณภาพเลวเต็มที
อันเป็นผลมาจากการเกษตรแบบระบบอุตสาหกรรมที่ทำกันมาจนกลายเป็นความเคยชินกว่าครึ่งศตวรรษ
หน้าดินที่มีคุณภาพถูกทำลายลง
อีกทั้งน้ำที่ใช้ในการเกษตรก็เต็มไปด้วยปุ๋ยเคมี และเมื่อดินเสื่อมสภาพลงโดยไม่เยียวยาแล้วละก็ คุณภาพของผลผลิตและคุณภาพดินก็จะดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ
ไร่บลูฮิลล์เริ่มต้นแก้ปัญหาโดยการเติมสารอินทรีย์ลงในดิน อาทิ มูลสัตว์ที่ได้จากสัตว์ที่กินหญ้าในระดับความสูงที่แตกต่างกัน
พวกเขาทดลองเลี้ยงแกะกับห่านในพื้นที่เดียวกัน และเร่งปลูกหญ้าสำหรับเป็นอาหารของสัตว์ทั้งสอง
แกะนั้นจะกินหญ้าบริเวณยอด ในขณะที่ห่านจะพอใจกับการกินหญ้าในระดับเรี่ยดินซึ่งจะกินต่อเนื่องจากแกะ
มูลของสัตว์ทั้งสองถูกส่งกลับมาเติมความชุ่มชื้นให้กับดิน หลังจากการเริ่มต้นปรับปรุงคุณภาพดินของไร่เมื่อสิบปีก่อน
คุณภาพดินของไร่บลูฮิลล์ดีขึ้นเกือบสองเปอร์เซ็นต์ ซึ่งแม้จะยังเป็นปริมาณที่น้อย
แต่ดินของไร่ในพื้นที่หนึ่งเอเคอร์กลับมีความสามารถในการซึมซับน้ำได้ถึงสองพันสี่ร้อยแกลลอน
และสามารถดูดซับคาร์บอนอันเป็นสารที่มีความจำเป็นต่อพืชผักถึงสามหมื่นปอนด์จากดินคุณภาพเดิมเลยทีเดียว
แนวคิดที่สองในการทำไร่บลูฮิลล์ของ แดน บาร์เบอร์ และเกษตรกรคนอื่นในไร่คือการสร้างวิถีแห่งนิเวศน์การเกษตร หรือ Agroecology ขึ้น
วิถีที่ว่านี้นอกจากการปรับปรุงคุณภาพดินแล้วยังรวมถึงการปลูกพืชผักตามฤดูกาลโดยไม่พยายามฝืนหรือเปลี่ยนแปลงรอบฤดูของมัน (ซึ่งพ้องเคียงกับแนวคิดของกลุ่ม Slow Food ที่เสนอแนะให้เรากินอาหารที่เกิดขึ้นตามฤดูกาล)
ในพื้นที่เพาะปลูกทั้งกลางแจ้งและในร่มของไร่บลูฮิลล์เราจะพบทั้งพืช ดอกไม้ สมุนไพร ขึ้นผสมผสานกันอย่างละลานตา
บางส่วนถูกส่งขายในท้องตลาด
บางส่วนถูกใช้ในร้านอาหารบลูฮิลล์ของ แดน บาร์เบอร์
บางส่วนถูกนำไปใช้ในการวิจัยของศูนย์การเรียนรู้
มีการคำนวณจำนวนพืชพันธุ์ทั้งหมดในไร่ว่าสูงถึงกว่าห้าร้อยชนิดเลยทีเดียว
และนั่นทำให้การหมุนเวียนปลูกพืชตามฤดูกาลเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและน่าสนใจยิ่ง
ในพื้นที่การเกษตรกว่าแปดสิบเอเคอร์ของไร่บลูฮิลล์ไม่ได้เป็นพื้นที่ราบโล่งที่เต็มไปด้วยแปลงเพาะชำอย่างที่เราคุ้นชินกัน มีพื้นที่ราบโล่งเช่นนั้นอยู่จริง
แต่ราวหนึ่งในสี่เท่านั้นเอง ที่เหลืออีกสามในสี่เป็นป่าขนาดใหญ่ที่โอบล้อมที่ราบของไร่
การมีป่านั้นนอกจากจะเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความชุ่มชื้นให้กับไร่แล้วยังถูกใช้เป็นสถานที่เพาะเลี้ยงผึ้งอันเป็นสัตว์ที่จำเป็นสำหรับการผสมพันธ์พืชอีกด้วย
เงื่อนไขหรือแนวทางที่สามของการทำไร่บลูฮิลล์คือการสร้างนวัตกรรมทางการอาหาร
คำขวัญของไร่บลูฮิลล์คือ “พื้นที่ทางการเกษตรของเราคือห้องทดลอง-Our farm is a Lab”
นวัตกรรมที่ว่านั้นประกอบไปด้วยนวัตกรรมทางเครื่องมือ ไร่บลูฮิลล์งดเว้นการใช้เครื่องมือทางการเกษตรขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นรถไถหรือรถแทร็กเตอร์ และออกแบบเครื่องมือทางการเกษตรขนาดย่อม เป็นมิตรและสามารถผลิตได้จริงในพื้นที่ต่างๆ
พวกเขาเรียกโครงการออกแบบเครื่องมือดังกล่าวว่า Slow Tools Project
เครื่องมือดังกล่าวนอกจากจะลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงแล้ว มันยังเอื้อต่อคนที่สนใจที่จะเริ่มต้นการทำการเกษตรแบบอินทรีย์ด้วย แทนการลงทุนไปกับเครื่องมือด้วยเงินมหาศาล
โครงการที่ว่านี้ร่วมมือกับไร่เกษตรโฟร์ซีซั่นที่รัฐเมน ไร่ฮุกเกอร์โนต์ ที่นิวพัลซ์ ไร่สโลว์แฮนด์ที่โอเรกอน ในช่วงเวลาที่ผ่านมาพวกเขาผลิตเครื่องมือได้ถึง 34 ชนิด
ซึ่งสามารถทำงานสำคัญได้ทุกประการในไร่เกษตร
นวัตกรรมต่อมาคือการหาทางเสาะหาพืชคลุมดินที่จำเป็นสำหรับการฟื้นฟูสภาพดิน
พืชคลุมดินที่ถูกนำมาใช้อย่างมากคือถั่วดินซึ่งสามารถปกป้องการเซาะกร่อนของหน้าดินและเรียกคืนไนโตรเจนให้กลับมาในดิน
นวัตกรรมที่ว่านี้ทำควบคู่ไปกับยกเลิกการเลี้ยงสัตว์เพื่อหวังผลประการเดียว ไม่ว่าจะเป็นไก่หรือวัว
ไก่ไม่ควรถูกเลี้ยงเพื่อให้ไข่หรือเนื้อแต่เพียงอย่างเดียว
ไก่ไข่ควรให้ไข่ได้และให้คุณภาพเนื้อที่ดีด้วย
วัวไม่ควรถูกเลี้ยงเพื่อให้นมหรือเพื่อให้เนื้อแต่เพียงอย่างเดียว
การเลี้ยงวัวเพื่อต้องการนม ทำให้ลูกวัวต้องถูกพรากจากแม่เพื่อไม่ให้แย่งคุณภาพนม แต่สิ่งนั้นทำให้ลูกวัวขาดภูมิต้านทานและเป็นโรคต่างๆ ได้ง่ายขึ้น
วัวที่ให้นมต้องสามารถให้คุณภาพเนื้อที่ดีด้วย
เนื้อลูกวัวที่ร้านบลูฮิลล์ของ แดน บาร์เบอร์ ที่กินนมแม่ซึ่งเป็นวัวนม มีคุณภาพเนื้อที่ดีมากจนทุกคนที่ได้ลิ้มลองมันถึงกับประหลาดใจ
การมีร้านอาหารที่เปรียบเสมือนดังประตูบานใหญ่ที่เปิดสู่การลิ้มลองทั้งพืช ผัก และเนื้อในแบบเกษตรอินทรีย์นั้นส่งผลในแง่ที่ทำให้เชฟจำนวนมากเริ่มหันมามองผลิตผลและวัตถุดิบแบบอินทรีย์มากขึ้น
และเมื่อมีการใช้วัตถุดิบที่ว่านั้นมากขึ้น การขยายตัวของไร่เกษตรแบบอินทรีย์ก็ยิ่งเติบโตตาม
เมนูของร้านอาหารบลูฮิลล์นั้นมีความน่าสนใจมาก
แดน บาร์เบอร์ เรียกเมนูแบบเขาว่า From farm to table -การส่งตรงจากไร่สู่มื้ออาหาร โดยเมนูของร้านจะไม่มีตายตัว ผู้มาทานอาหารในวันนั้นจะได้ทานอาหารที่ทำจากวัตถุดิบที่ถูกส่งตรงมาจากไร่บลูฮิลล์ในวันนั้น
นอกจากนี้ แดน บาร์เบอร์ ยังนำเสนอเมนูจากวัตถุดิบที่เหลือใช้ในครัวส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นขอบขนมปัง หรือก้านผัก
เมนูหนึ่งของเขาที่น่าสนใจมากสำหรับการใช้วัตถุดิบอย่างคุ้มค่าคือก้านบร็อกเคอลี่ และเศษมันฝรั่งทอดในขนมขบเคี้ยวทั่วไป
ก้านบร็อกเคอลี่นั้นจะเป็นสิ่งที่ถูกทิ้งหลังจากการต้มบร็อกเคอลี่เพื่อเอาใบไปใช้งานเรียบร้อยแล้ว ทั้งที่ตัวก้านบร็อกเคอลี่สามารถมาประกอบอาหารอย่างมีรสชาติมาก
ส่วนผสมอื่นคือก้านของสมุนไพรอย่างพาร์สลีย์และโหระพา
ส่วนผสม
ก้านบร็อกเคอลี่สองก้าน (ส่วนใบนั้นสามารถนำไปประกอบอาหารชนิดอื่นได้)
ก้านสมุนไพรหนึ่งช้อนโต๊ะ
ผิวมะนาวขูดหนึ่งช้อนโต๊ะ
พาร์เมซานชีสหนึ่งช้อนโต๊ะ
น้ำมันมะกอกหนึ่งช้อนโต๊ะ
ผงที่เหลือจากถุงมันฝรั่งทอด เกลือทะเล และพริกไทยดำ
กรรมวิธี
ลอกเปลือกก้านบร็อกเคอลี่ส่วนที่แข็งออก ต้มน้ำ ใส่เกลือทะเล รอจนน้ำเดือดใส่ก้านบร็อกเคอลี่ลงไปต้มสี่ถึงหกนาที
นำก้านบร็อกเคอลี่มาทิ้งให้สะเด็ดน้ำ ผสมก้านสมุนไพร พาเมซานชีสและน้ำมันมะกอกเข้าด้วยกัน
เติมเกลือและพริกไทยตามชอบ
โรยส่วนผสมต่างๆ ลงบนก้านบร็อกเคอลี่
และใช้เศษมันฝรั่งทอดโรยหน้าเป็นการปิดท้าย