ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 23 กุมภาพันธ์ - 1 มีนาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | กรองกระแส |
เผยแพร่ |
กรองกระแส
เมื่อเริ่ม จากกลัว
รวมพล คนอยากเลือกตั้ง
ก็เป็น อาชญากรรม
ไม่ว่าการออกมาปราม “อาจารย์” ไม่ว่าการออกมาปราม “นิสิตนักศึกษา ประชาชน” ที่ออกมาเคลื่อนไหวในนาม Start Up People
มาจาก “ความกลัว”
หากทุกอย่างดำเนินไปตามปกติ อย่างมากที่สุดก็แค่นำเอา พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 ออกมาปราม
หรือไม่ก็อาจพ่วงคำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 3/2558 เข้าไปด้วย
แต่นี่ไม่ว่า คสช. ไม่ว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต่างพยายามจะขยายกรอบและขอบเขตออกไปจนถึงประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116
ราวกับเด็กๆ เหล่านี้จะพากันออกมาทำลายความมั่นคง โค่นล้มรัฐบาล
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นเมื่อวันที่ 27 มกราคม บนลานสกายวอล์ก แยกปทุมวัน ไม่ว่าจะเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ บริเวณหน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่
พวกเขาเพียงเรียกร้องต้องการ “การเลือกตั้ง”
ในที่สุดแล้ว ความกลัวของ คสช. ความกลัวของรัฐบาล จึงรวมศูนย์ไปยังความกลัวจะแพ้ต่อการเลือกตั้ง ความกลัวที่จะไม่ได้สืบทอดอำนาจ หรือถึงได้สืบทอดก็ไม่ได้ราบรื่น
บทเรียนจากอดีต
ผ่าน “การเลือกตั้ง”
บทเรียนจากอดีตในที่นี้มิได้เป็นเพียงอดีตจากพรรคไทยรักไทย หากแต่ยังเป็นอดีตจากพรรคพลังประชาชน และเป็นอดีตจากพรรคเพื่อไทย
รัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 เป้าหมายคือพรรคไทยรักไทย
จึงไม่เพียงแต่จะมีการฉีกรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ทิ้ง แล้วร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ขึ้นมา และดำเนินการยุบพรรคไทยรักไทย เพื่อลบบทบาทและความหมายของพรรคไทยรักไทยให้หมดสิ้นไปจากหัวใจประชาชน
แต่แล้วในเดือนธันวาคม 2550 พรรคพลังประชาชนอันเป็นอวตารของพรรคไทยรักไทยก็ยังได้ชัยชนะจากการเลือกตั้ง
จึงต้องมีการเคลื่อนไหวอีกครั้งและนำไปสู่การยุบพรรคพลังประชาชน และดำเนินการปราบปรามการลุกขึ้นมาของ นปช. อันเป็นพันธมิตรที่แนบแน่นกับเครือข่ายของพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นอวตารจากพรรคพลังประชาชนและพรรคไทยรักไทย
แต่แล้วในเดือนกรกฎาคม 2554 พรรคเพื่อไทยก็ยังได้รับความไว้วางใจเป็นอย่างสูงจากประชาชนในการเลือกตั้ง
จึงจำเป็นต้องก่อสถานการณ์นำไปสู่การรัฐประหารในเดือนพฤษภาคม 2557
บทเรียน เสียของ
บทเรียน รัฐประหาร
รัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 ได้กลายเป็นสิ่งหลอกหลอนและย้ำเตือนต่อรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 อย่างรุนแรงล้ำลึก
เพราะคำว่า “เสียของ” จากรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 ลอยเด่น
รัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 จึงอุดช่องว่างรอยโหว่ทุกด้าน ไม่ว่าจะการงัดเอามาตรา 44 มาเป็นเครื่องมือ ไม่ว่าจะการงัดคำสั่งหัวหน้า คสช. มากำราบต่อทุกการเคลื่อนไหวในทางการเมือง และในที่สุดการวางระบบเพื่อรักษาและสืบทอดอำนาจผ่านรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560
ทั้งๆ ที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านการทำ “ประชามติ” ทั้งๆ ที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ประกาศและบังคับใช้เมื่อเดือนเมษายน กระทั่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองผ่านการประกาศและบังคับใช้เมื่อเดือนตุลาคม
แต่การปลดล็อกพรรคการเมืองให้ทำกิจกรรมทางการเมืองก็ยังไม่เกิดขึ้น
ไม่เพียงแต่เท่านั้น ยังมีการออกคำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 57/2560 ออกมา อันนำไปสู่การปรับแก้ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง และนำไปสู่การยกร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. อันทำให้กำหนดเวลาที่บัญญัติไว้ในเรื่องการเลือกตั้งในรัฐธรรมนูญต้องเลื่อนออกไปอีก 90 วัน
แต่ที่สำคัญเป็นอย่างมากก็คือ กระทั่งเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ก็ยังไม่สามารถกำหนดได้ว่าจะเลือกตั้งในวันใด
นี่จึงเท่ากับเป็นรูปธรรมแห่งความกลัวและยังไม่กล้าที่จะเข้าสู่สนาม “การเลือกตั้ง”
เป้าหมาย คงเดิม
ปรปักษ์ ยังคงเดิม
จากรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 มายังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 เหมือนกับสถานการณ์จะเปลี่ยน
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแทบไม่มีอะไรเปลี่ยน
ทุกอย่างยังเริ่มต้นจากความกลัวต่อปรปักษ์ทางการเมืองเดิม เพียงแต่เปลี่ยนจากพรรคไทยรักไทย จากพรรคพลังประชาชน มาเป็นพรรคเพื่อไทย
ยังเป็นความหวาดกลัวว่าจะต้องพ่ายแพ้ใน “การเลือกตั้ง”
จึงไม่ยอมกำหนดโรดแม็ปการเลือกตั้งอย่างเด่นชัด จึงมองเห็นและประเมินคนที่แสดงตนว่าอยากและต้องการการเลือกตั้งเป็นศัตรูที่จะต้องใช้ไม้แข็งในทางกฎหมาย ในทางการเมืองเข้าไปจัดการ ไม่ว่าจะเป็นนิสิตนักศึกษา ไม่ว่าจะเป็นครูบาอาจารย์ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมือง
เป็นความกลัวต่อการเลือกตั้ง เป็นความกลัวจะแพ้ต่อการเลือกตั้ง