วางบิล เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์/สู่ร่มกาสาวพัสตร์ เหตุซ้อนเหตุ

เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์

สู่ร่มกาสาวพัสตร์

เหตุซ้อนเหตุ

โชเฟอร์ยังคงทำหน้าที่นำรถมุ่งไปข้างหน้า ไม่เร็ว ไม่ช้า สองข้างทางผ่านพื้นที่ว่างบ้าง ผ่านหมู่บ้านขนาดย่อมบ้าง บางพื้นที่มีด่านที่รถไม่ต้องหยุดให้ตรวจ
บนรถแม้จะมีผู้โดยสารคนอื่นด้วย แต่ดูเหมือนว่าปานนั่งเพียงคนเดียวลำพัง หลายคนนั่งหลับตั้งแต่รถออกจากด่านตรวจที่ผ่านมา บางคนยังคุยถึงเหตุที่ต้องมีด่านทหารตรวจตามรายทาง การนั่งรถระยะทางไกลคนเดียวอย่างปาน ทำให้ความคิดคำนึงของคนที่ความคิดไม่หยุดอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งจึงปรับเปลี่ยนไปเรื่อย
เมื่อย้อนกลับคิดถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมาหลายปีก่อน กระทั่งเมื่อสองสามปีที่ผ่านมา แม้ความคิดนั้นจะผุดพรายขึ้นเหมือนต่อมอากาศผุดจากน้ำ อาจจำตรงนั้นได้ดี ลืมตรงนี้ไปบ้าง ไม่ค่อยปะติดปะต่อเหมือนยามเมื่ออ่านจากหนังสือ บางเหตุการณ์จึงจำผิดจำถูก
แต่เหตุการณ์ระหว่างนั้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะความรุนแรงที่เกิดขึ้นคราว 14 ตุลา 16 ซึ่งปานมีโอกาสไปร่วมในขบวนบางครั้ง แต่ไม่ถึงกับเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กระนั้น ยังอดภูมิใจไม่ได้ที่เป็นคนหนึ่งอยู่ในแนวร่วมขับไล่เผด็จการกับเขา
14 ตุลา 16 ขบวนการนิสิตนักศึกษา นักเรียนอาชีวะ และนักเรียนระดับมัธยมจำนวนไม่น้อยเป็นส่วนสำคัญที่ปลุกกระแสประชาชนให้ลุกออกจากบ้านมาร่วมชุมนุมในท้องถนน ทั้งที่การติดต่อสื่อสารผ่านเพียงข่าวโทรทัศน์ ในคืนวันนั้น แต่กับหนังสือพิมพ์ในเช้าวันรุ่งขึ้นมีเนื้อหาแทบว่าตรงกับข้าม โดยเฉพาะภาพความเคลื่อนไหวของนิสิตนักศึกษาจำนวนนับหมื่นคนในสนามฟุตบอลมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ยิ่งเมื่อถึงกำหนดปล่อยตัวผู้ที่ถูกจับกุมในข้อหาเรียกร้องรัฐธรรมนูญ และเหตุก่อนหน้านั้น รัฐบาลมิได้สนใจในข้อเสนอ กลับจะขัดขวางและถึงขั้นปราบปรามนิสิตนักศึกษาเหล่านั้น จนเป็นเหตุให้เกิดการเดินขบวนครั้งใหญ่
นำไปสู่เหตุการณ์รุนแรงที่บริเวณข้างพระราชวังสวนจิตรลดา เช้าวันที่ 14 ตุลาคม 2516

เมื่อรถโดยสารวิ่งเข้าสู่ท่ารถในเมือง ความคิดที่ผุดขึ้นมาหยุดลง ความสนใจของปานอยู่ที่ต้องลงจากรถตรงท่ารถ ปานจับสามล้อให้ไปส่งที่สวนรัก บริเวณอนุสาวรีย์ “ย่าโม” ซึ่งเป็นที่รักเคารพอย่างยิ่งของชาวโคราช ซึ่งเรียกตัวเองว่า ลูกหลานย่าโม เพื่อต่อรถโดยสารเข้าไปที่ด่านอุดม ที่ใกล้เวลาออกรถจวนแจเต็มที
ขึ้นนั่งเรียบร้อย รถเคลื่อนออกช้าๆ กระเป๋ายังทำหน้าที่ตะโกนเรียกผู้โดยสารลั่น กว่าโชเฟอร์จะเปลี่ยนเกียร์เร่งความเร็วขึ้นมาอีกหน่อย
รถโดยสารขับวนเวียนตลาดรอบหนึ่ง ก่อนวิ่งออกสู่ถนนมิตรภาพมุ่งตรงไปยังแยกเข้าด่านอุดม
เมื่อรถวิ่งเข้าสู่ถนนลูกรัง ความเงียบเมื่อครู่เริ่มดังขึ้นอีกครั้ง เรียกให้คนนั้นช่วยจับไอ้นี่ เรียกคนนี้ให้ช่วยจับไอ้นั่น คือหาบ กระจาด ตะกร้า ที่วางไว้บนพื้นรถเคลื่อนออกจากที่เมื่อรถตกหลุมบ้าง เบรกบ้าง วุ่นวายเหมือนทุกครั้งที่ปานเดินทางมาที่นี่
ถนนยังเป็นหลุมเป็นบ่อเหมือนเดิม ทั้งที่ผ่านหน้าฝนมาแล้ว เป็นช่วงที่เสียเวลาการเดินทางมากที่สุด กระทั่งรถวิ่งถึงที่หมายปลายทาง คือตลาดด่านอุดม เมื่อรถจอดสนิทดี ผู้ที่โดยสารชุดสุดท้ายหอบข้าวของที่ซื้อจากในเมืองพะรุงพะรังลงจากรถ บ้างกระเดียด บ้างหาบ
ปานรอกระทั่งใครต่อใครลงจนหมด จึงกระโดดตุ๊บทางท้ายรถ กระเป๋าสายการบินบรรจุเสื้อผ้าสองสามชุดอย่างเคยสะพายไหล่
“อ้าว! นั่นคุณปานมาตั้งแต่เมื่อไหร่” พี่สมเมียครูใหญ่ทักทายเมื่อเห็นหน้ากันถนัด
“ครับ” ปานรับคำพร้อมยกมือไหว้ “ออกมาเอาของหรือครับ มีอะไรให้ผมช่วยถือไหม”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ พี่ยังอีกนาน เข้าไปที่โรงเรียนก่อนเถอะ … เอ้อ – เดี๋ยวครูจงจิตจะคอย” พี่สมยิ้มให้อย่างมีความหมายเมื่อเอ่ยถึงครูจงจิต
ปานหัวเราะเบาๆ แก้เขินกับพี่สม เมียครูใหญ่โรงเรียนด่านอุดมที่จงจิตเป็นครูสอน ก่อนกล่าวลาเดินเลี่ยงไปทางตลาดตรงไปยังบ้านพักครูซึ่งห่างออกไปประมาณ 200 เมตร แต่เล่นเอาเหงื่อซึมไปเหมือนกัน

“ครูจงจิต ใครมาหาเอ่ย” เสียงตะโกนไม่ดังไม่ค่อยของครูมนวิไลเชิงล้อเล่นเป็นเหตุให้จงจิตผละสายตาจากหนังสืออ่านเล่น ลุกมาที่หน้าต่าง
ปานก้มหน้าก้มตามองทางเดินข้างหน้าแล้วกระโดดข้ามท่อนไม้ขวางหน้า เมื่อเงยหน้าขึ้นสบตาของจงจิตที่มองอยู่ก่อนแล้วจากหน้าต่าง เขายิ้มและโบกมือให้ จงจิตยิ้มตอบ แต่ในรอยยิ้มนั้น หากปานเห็นถนัดคงต้องเกิดคำถามขั้นในใจเหมือนกัน จากความที่เป็นคนรู้สึกอ่อนไหวง่ายต่อการแสดงออกของใครต่อใครเช่นเขา
จงจิตถอนหายใจอย่างไม่รู้สึกตัว เดินกลับเข้ามาจัดการเก็บหนังสือวางไว้ที่เดิม จัดเสื้อผ้าผมเผ้าให้เข้ารูปเข้ารอย เดินออกจากห้องมาที่ระเบียงบันได พอดีกับปานเดินมาถึง ก้มลงถอดรองเท้า
“นึกว่าถูกจับไปกับเขาแล้ว” ครูมนวิไลทักทาย “เห็นว่าชอบทางนี้อยู่ เป็นไงบ้าง วันนั้น เงียบไปเลย ไม่ส่งข่าวให้รู้กันมั่ง”
“โธ่…อายุปูนนี้แล้ว ไปร่วมกับเขาทั้งคืนเห็นจะไม่ไหว ต้องทำงานทำการ เอาแค่หอมปากหอมคอก็พอ แล้วจะปล่อยให้ถูกจับก็เสียชื่อหมดน่ะซิ” ปานพูดเล่นเย้าออกไป “ว้า…อย่าเพิ่งให้บอกอะไรเลย แล้วจะเล่าให้ฟัง ตอนนี้ยังสยองขวัญไม่หาย” ปานหมายความตามนั้น ทำหน้าตาเสียวสยอง “ทางนี้เป็นอย่างไรบ้างเล่า ผมเป็นห่วงแทบแย่”
“ก็สบายดี ไม่เจ็บไม่ไข้” มนวิไลตอบไปอีกทาง “ไม่ส่งข่าวมามั่ง ปล่อยให้เป็นห่วง…เอ้า – เชิญนั่งก่อนเจ้าค่ะ มาเหนื่อยๆ เมยไม่หาน้ำหาท่ามารับแขก” มนวิไลเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นจงจิตเดินลงมา
คำพูดเรื่อยเปื่อยของครูมนวิไลทำให้ปานชะงัก แต่เมื่อคิดว่าทั้งเขากับมนวิไลต่างพูดเล่นพูดหัวเป็นประจำ จึงไม่คิดอะไรเลยเถิดไปจากนั้น วางกระเป๋าลงบนโต๊ะข้างล่าง แล้วจงจิตบอกให้ขึ้นไปนั่งเล่นข้างบนก่อน ปานจึงฉวยกระเป๋าเดินขึ้นบันไดไปคนเดียว ปล่อยให้จงจิตกับมนวิไลง่วนทำอะไรตามลำพัง
สักครู่ จงจิตถือแก้วใส่น้ำฝนขึ้นมาวางบนโต๊ะกลมรับแขกริมระเบียง ขณะปานนั่งพิงพนักเก้าอี้ตามสบาย “เมื่อกี๊พบพี่สมที่ตลาด ออกไปซื้ออะไรไม่รู้ ผมเลยเข้ามาก่อน”
“คุณกินอะไรมาหรือยัง” จงจิตถามขณะวางแก้วน้ำเย็นลงตรงหน้าปาน แล้วส่งเสียงดังลงไปข้างล่าง “พี้ดจะออกไปข้างนอกหรือยัง ฝากซื้ออะไรมากินหน่อยซิ…” ปานยกแก้วน้ำขึ้นจะดื่ม แล้วชะงักนิดหนึ่งเมื่อได้ยินน้ำเสียงของจงจิตไม่เหมือนอย่างเคยที่ปานคุ้น
ฟังแปร่งปร่าอย่างไรไม่รู้