วางบิล เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์ / สู่ร่มกาสาวพัสตร์ เส้นทางสู่ความรัก

วางบิล/เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์

สู่ร่มกาสาวพัสตร์ เส้นทางสู่ความรัก

ปานเป็นคนหนึ่งในจำนวนประชาชนนับหมื่นที่อยู่ในเหตุการณ์จนเกือบจะเรียกได้ว่าใกล้ชิดกับเหตุการณ์ “6 ตุลา” ภาพที่ปรากฏต่อหน้าทำให้เขาสลดหดหู่ในหัวใจ รู้สึกเหมือนกับว่าความเมตตาปรานี ความกรุณาของคนหล่นหายไปในขณะนั้น

ทันทีที่เด็กหนุ่มสักคนหนึ่งวิ่งออกมาจากบริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ด้านสนามหลวง กลุ่มเด็กหนุ่มภายนอกจะถาโถมเข้าใส่อย่างเมามัน ทั้งหมัด ทั้งตีน ไม้ สารพัดกระหน่ำลงบนตัวเด็กหนุ่มคนนั้น โดยที่ตำรวจบริเวณนั้นมิได้จัดการห้ามปรามอย่างใดทั้งสิ้น

คล้ายฝูงหมาป่าพร้อมกันกระโจนเข้ารุมทึ้งร่างลูกแกะที่วิ่งกระเซิงออกจากกำบัง เหมือนหนูวิ่งตื่นออกมาจากรูท่อถูกผู้คนรุมหวดด้วยไม้สนุกมือ วิ่งคว้างออกไปกลางถนนแล้วถูกรถยนต์แล่นทับตาย!!

เมื่อเป็นเด็ก ภาพเช่นนี้เคยปรากฏในสายตาเขามาบ้างครั้งสองครั้ง แต่ไม่รุนแรงถึงขนาดนี้ เป็นเหตุการณ์จับนักวิ่งราวที่กระชากสร้อยคอน้ำหนักประมาณหนึ่งสลึงของแม่บ้านคนหนึ่งที่ไปจ่ายตลาด นักวิ่งราวคนนั้นหลังจากกระชากสร้อยติดมือแล้วออกวิ่งแผล็วไปพร้อมเสียงร้องของแม่บ้านคนนั้นตะโกนดังขึ้นให้ช่วยถูกกระชากสร้อย สีหน้าตื่นตระหนกไปกับความเสียดาย

ผู้คนโดยเฉพาะชายรุ่นฉกรรจ์ละแวกนั้นต่างวิ่งกรูตามนักวิ่งราวคนนั้นไปทันกันในตรอกตัน นักวิ่งราวทรุดตัวลงนั่งยกมือไหว้ส่งเสียงร้องขอว่า อย่าทำผมเลย อย่าทำผมเลย ซ้ำซากอย่างนั้น ขณะที่ชายฉกรรจ์เข้าถึงตัว ทั้งมือทั้งเท้ากระหน่ำไปบนร่างกายของนักวิ่งราวไม่ยั้งมือยั้งตีน นักวิ่งราวยกมือปกป้องพัลวัน พร้อมร้องวิงวอนขอชีวิต น่าเวทนา พอได้ยินว่า ที่ทำไปเพราะอดข้าวมาหลายวัน

สักพัก จ่าบุญมีมาถึงเมื่อไหร่ไม่ทราบ ส่งเสียงคุ้นหูขึ้นว่า พอแล้ว พอแล้ว นั่นแหละมือตีนชายฉกรรจ์เหล่านั้นจึงเพลาลง แต่ไม่วายมีลูกหลงเข้าไปอีกพลั่กสองพลั่ก

หน้าตาของนักวิ่งราวแปรสภาพเป็นซีดขาวแต่งแต้มด้วยสีแดงเถือกของเลือด และเขียวเป็นจ้ำบนเนื้อตัว จ่าบุญมีสวมกุญแจมือ แล้วพาไปโรงพัก เสียงตะโกนไล่หลังว่าทีหลังอย่ามาหากินแถวนี้อีก ไปบอกพรรคพวกด้วย ไม่อย่างนั้นเจ็บตัวฟรี

ระหว่างนั้น ปานยังรู้สึกว่ามีผู้คนคอยห้ามปราม มีผู้ไปบอกตำรวจให้มาจัดการยุติเหตุการณ์ที่อาจลุกลามหรือรุนแรงกระทั่งเกิดการฆ่ากันตายโดยไม่มีเจตนาได้

แต่กับเหตุการณ์ “6 ตุลา” ปานรู้สึกเหมือนตัวเองไร้ประโยชน์ยิ่งกว่าผงคลีดิน แม้แต่จะร้องบอกให้เขาเหล่านั้นหยุดการกระทำแล้วนำตัวส่งเจ้าหน้าที่บ้านเมืองให้ดำเนินการตามกฎหมาย ยังไม่กล้า

ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจบางคนยังร่วมผสมโรงด้วย หรือจะร้องห้ามปรามยังหามีผู้ใดเชื่อฟังไม่

กระทั่งเด็กหนุ่มคนนั้นมีเจ้าหน้าที่ตำรวจและน่าจะเป็นแพทย์กับพลเมืองดีบางคนช่วยกันนำส่งขึ้นรถพยาบาลวิ่งออกไป คนแล้วคนเล่า

ปานไม่สามารถตัดสินลงไปได้ว่าเป็นความถูกความผิดอย่างไร นึกคิดอย่างเดียวว่า อะไรเป็นเหตุให้คนเราใจคอเหี้ยมโหดถึงขนาดนั้น

เหตุการณ์ผ่านไปและสงบรวดเร็วราวไฟไหม้ฟาง เด็กหนุ่มสาวที่ชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ถูกกวาดต้อนให้ลงจากตึกมารวมตัวในสนามฟุตบอล ต้องถอดเสื้อผ้า ผู้ชายถอดเสื้อปล่อยร่างท่อนบนเปลือย ผู้หญิงถอดเพียงเสื้อชั้นนอกออก เหลือเสื้อคอกระเช้า ไม่ถึงกับต้องเหลือเสื้อชั้นใน เว้นแต่ผู้ที่สวมเพียงเสื้อและเสื้อชั้นใน ไม่ต้องถอด

ทั้งหมดถูกกวาดต้อนไปขึ้นรถเมล์ที่ทางการเตรียมไว้ไปส่งที่ไหนบ้างไม่ทราบ

ปานพยายามไม่คิดอะไรให้มากไปกว่าความเปลี่ยนแปลงย่อมเกิดขึ้นได้เสมอในทุกสภาวการณ์ ความผันผวนทางการเมืองเมื่อ 14 ตุลาคม 2516 ยังไม่สร่างซาไปจากความรู้สึกนึกคิดของผู้คน เหตุการณ์ต่อเนื่องถึงครั้งนี้กลับมาเกิดขึ้นโดยไม่มีใครนึกถึงว่าจะเป็นถึงเพียงนี้

เขาไม่สามารถรู้ได้ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้เกิดจากความผิดพลาดหรือความต้องการของใคร ทั้งยังไม่มีโอกาสพูดคุยกับใครได้เช่นกัน เว้นเสียแต่กับเพื่อนสนิทสองสามคน กระนั้นเป็นเพียงการเล่าสู่กันฟังถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากกว่าจะลงลึกในรายละเอียด

ปานไม่ใช่พวกใคร จึงเป็นการยากที่จะแสดงความคิดเห็นว่าควรเป็นอย่างนั้น ควรเป็นอย่างนี้ ดังนั้น การนิ่งเฉยจึงดีที่สุด คอยดูว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไปในฐานะพลเมืองดีของประเทศเท่านั้น

รถโดยสาร บ.ข.ส. จอดอีกครั้งหนึ่งที่ด่านทหารก่อนเข้าเมืองโคราช เสียงดังขึ้นจากหน้ารถหลังดับเครื่องแล้ว “ขอความกรุณาตรวจหน่อยครับ ขอโทษนะครับที่ต้องรบกวน” สารวัตรทหารเจ้าของเสียงดังขึ้นจากประตูหน้ารถ และจากอีกคนด้านหลัง “ทุกท่านลงไปให้เจ้าหน้าที่ด้านล่างตรวจบัตรประชาชนด้วยครับ” สารวัตรคนข้างหน้าเอ่ยขึ้น ใบหน้ายิ้มแย้มดูเป็นมิตร ทั้งปืนเอ็ม 16 กระชับในอ้อมแขน

ผู้โดยสารทุกคนรวมทั้งปานทยยอยลงจากรถ เดินไปที่โต๊ะบังเกอร์ มีเจ้าหน้าที่ทหารคอยตรวจบัตรประชาชน หรือบัตรที่ทางราชการออกให้ เช่น ใบขับขี่ ถามไถ่จุดหมายปลายทางอีกประโยคก่อนบอกขอบคุณพร้อมคืนบัตร ผู้ไม่มีบัตรส่วนใหญ่เป็นเด็กและเยาวชนอายุยังไม่ครบ เจ้าหน้าที่ให้ไปลงชื่ออีกโต๊ะหนึ่ง แล้วอนุญาตให้ขึ้นรถได้เช่นกัน

รับการตรวจบัตรเรียบร้อย ปานจึงเตร่เข้าไปยืนข้างนายทหารยศร้อยโทที่ยืนคุม ปากคอยบอกขออภัย สายตาสอดส่ายไปทางถนน ซึ่งฟากตรงข้ามมีทหารทำหน้าที่เช่นเดียวกัน

“เหนื่อยหน่อยนะครับ” ปานเปรยขึ้น

นายร้อยโทคนนั้นหันมองยิ้ม “ครับ ก็ทำตามหน้าที่ ระยะนี้เบาลงไปเยอะ ไม่เหมือนระยะแรกๆ”

ปานมองข้ามถนนดูทหารเปิดท้ายรถยนต์ส่วนตัวคันหนึ่ง เหมือนกับจะมีปัญหา

“ขอโทษนะครับที่ต้องล่าช้าไปบ้าง” นายร้อยโทหนุ่มคนนั้นบอก ขณะสายตามองไปยังรถยนต์คันนั้นเช่นกัน แล้วขอตัววิ่งเหยาะๆ ข้ามถนนไป

เมื่อไปถึง ปานเห็นเขานิ่งฟังชายสูงอายุเจ้าของรถยนต์คันนั้นสองสามประโยคสั้นๆ พยักหน้าแล้วถามอะไรสองสามคำ ก่อนอนุญาตให้รถยนต์คันนั้นผ่านไปได้

หากไม่มีนายทหารอยู่ด้วย ความเข้าใจหรือการตัดสินใจทันด่วนคงไม่เกิดขึ้น ทั้งคงสร้างความยุ่งยากให้กับคนทั่วไป ปานคิดเช่นนั้น เขาเคยผ่านเหตุการณ์ทำนองเดียวกันมาบ้าง พอจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรดี