ทราย เจริญปุระ : เบื่อ เรื่องชื่อ-เรื่องนามสกุล

1.เราเป็นใครที่จะไปตัดสินชีวิตคนอื่น

เราพอใจที่เรารู้สึกว่ามีศีลธรรมเหนือกว่า มีชีวิตที่ดีกว่า เห็นอะไรๆ มามากจนสามารถจัดระเบียบวางกรอบ แบ่งกลุ่มให้ผู้คนได้อย่างหมดจดถ้วนทั่วจริงๆ หรือ?

The Florida Project เล่าเรื่องหลักผ่านนักแสดงเด็ก โดยคนที่แสนจะแก่นแก้วเป็นหัวหน้าแก๊งคือ “มูนนี่” เด็กหญิงหน้าตาน่ารักผู้แสบสันต์ อาศัยอยู่กับแม่ที่วัยก็ดูจะห่างจากเธอในระดับแค่หลัก 10 ปี

แม่ลูกอาศัยอยู่ในโรงแรมที่เธอยึดเอาเหมือนเป็นหอพัก ฟังเพลงเนื้อหารุนแรง เต้นไปด้วยกัน แบ่งน้ำอัดลมกันกิน

วันแต่ละวันของมูนนี่ผ่านไปกับเพื่อนเด็กที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมไม่ต่างกัน โมเต็ลราคาถูกชื่อชวนฝันสีสันสดใส ตั้งอยู่ใกล้ๆ ดิสนีย์แลนด์

โมเต็ลระดับล่างๆ ที่มีไว้เก็บตกคนจรและคนที่นึกว่าความเป็นดิสนีย์แลนด์แดนจินตนาการ จะแผ่ซ่านมาปกคลุมพื้นที่ไร้ความหวังรอบๆ นี้ด้วย

 

2.”ครูเขาพูดดีนะ ไม่ได้น่าเกลียดอะไร ออกแนวเป็นห่วงด้วย ก็เลยสนใจซักถาม”

“เออ นึกออก แต่กำลังคิดว่า ถ้าครูเขารู้ว่าพวกเราเป็นยังไง เขาอาจจะไม่ถามแบบนี้นะ”

“นั่นสิ ทั้งแม่ ทั้งป้า ถ้าเป็นเมื่อก่อน เราจะโดนจัดกลุ่มมั้ย”

“จะเหลือเหรอ คนนึงชอบเดินขอบสนามคนเดียวเงียบๆ อีกคนอ่านแต่หนังสือ ไม่ร่วมวงอะไรกับใคร ปลีกวิเวกสุดๆ”

“นี่ก็เลยไม่รู้ว่ามันดีหรือไม่ดีกันแน่ ที่เราเป็นเด็กแบบนั้นกันเนอะ”

ฉันกับน้องสาวเรียนโรงเรียนเดียวกัน และน้องสาวฉันก็แต่งงาน มีลูกสาวหนึ่งคน

เพลินเป็นเด็กอ่อนไหว และเจ้าจินตนาการ เด็กน้อยอาจดูเงียบไปสักนิด ถ้าเทียบกับเพื่อนรุ่นเดียวกัน เพลินไม่ชอบการทำตัวเลอะเละเหงื่อ หรือวิ่งซ่กๆ สำรวจพื้นที่แปลกใหม่ พื้นที่ของเพลินคือหนังสือ อ้อมกอดของแม่ และเพื่อนรักหนึ่งคน

ฉันกับน้องสาว-แม่ของเจ้าเพลิน-ไม่แปลกใจสักนิดในความเป็นเพลิน

ถ้าจะแปลกใจก็คงเป็นเพราะเพลินเหมือนเราสองคนตอนเด็กๆ มากอย่างไม่น่าเชื่อ เราจึงออกจะขำๆ กัน เมื่อครูของเพลินถามอ้อมไปอ้อมมาช่วงแรกเรียน ในเรื่องพัฒนาการและบุคลิกของเพลิน ว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า เพราะไม่ค่อยเล่นและไม่ค่อยสบตากับใคร

-นี่ถ้าครูรู้จักเราสองคนตอนเด็กๆ ป่านนี้คงเอามือกุมอกหายใจรวยรินไปแล้ว-

เพราะทั้งฉันกับน้องนั้นดูจะย่ำแย่กว่าเพลินเสียอีก ในการเข้าหาผู้คน เราเดินเล่นเงียบๆ ไต่ขอบปูนตรงสนาม เท้าก้าวชิดก้าว สอดส่ายสายตามองหาดอกหางนกยูงตูมๆ ที่ตกลงมาก่อนได้สยายกลีบ ค่อยๆ แกะเปลือกหุ้มมันออก ทำเป็นเล็บสีสวยติดครบสิบนิ้ว

เรื่องบางอย่างถ้ายังไม่ถูกให้คำจำกัดความ, เรื่องนั้นก็ดูจะปกติสุขดี

และความสุขนั้นก็คงจะคล้ายกับความงาม ที่ขึ้นอยู่กับสายตาคนมอง

 

3.สระอา พอสำเภา รอเรือ นอเณร การันต์

ไม่เหมือน

–คือมันก็เหมือน สะกดถูกต้อง แต่ขนาดนัยน์ตาเด็กๆ อย่างฉันยังดูออกเลย ว่านี่มันลายเซ็นปลอม

ครูต้องรู้แน่ๆ

แต่ก็คงไปไม่ถึงครูหรอก

เจ้าของลายเซ็นนอนรอดูอยู่ตรงนี้เอง

น่าเบื่อจัง, ทำไมฉันต้องมานั่งหัดเซ็นลายเซ็นในเมื่อหนังสือก็ยังอ่านไม่จบ จะหยิบมาอ่านตรงนี้ก็โดนดุ ไอ้ลายเซ็นนี่เป็นปัญหากับฉันมาแต่ไหนแต่ไร จนกลายเป็นเรื่องใหญ่โตเกินจริง ให้พ่อเซ็นให้ก็ไม่ได้ -ผิดระเบียบ-ครูว่า พ่อเธอไม่ได้เป็นคนมามอบตัวเธอตอนวันปฐมนิเทศ ไม่นับเป็นผู้ปกครอง

งี่เง่าจัง

ฉันรู้ว่าครูและใครต่อใครที่โรงเรียนแอบซุบซิบกันเสมอ เรื่องพ่อฉัน บางทีก็ถามเอาจากฉันดื้อๆ โดยคงจะคิดเอาว่าฉันไม่รู้ความนัย

ถึงอยู่ ป.1 ฉันก็สัมผัสได้ถึงความไม่บริสุทธิ์ใจในคำถามอยู่หรอก มันออกจะชัดเจนแถมไม่พยายามจะปกปิดความสอดรู้สอดเห็นด้วยซ้ำ กับคำถามว่าปกติอยู่กับพ่อไหม ได้เจอบ้างหรือเปล่า

ให้โง่เท่าโง่ก็ต้องรู้ว่าคนถามกำลังจะต้องการยืนยันความเชื่อของตัวเองว่าฉันเป็นลูกเมียน้อย เป็นลูกหลงๆ ลับๆ ของพ่อซึ่งนานๆ จะโผล่มารับฉันที่โรงเรียนสักที สวมแว่นกันแดด หล่อจัด, ใส่ยีนส์ฟอกซีดที่ติดกลิ่นบุหรี่ซึ่งพ่อจะพกติดตัวเสมอ

“ไม่มีวัฒนธรรม” พ่อชอบบอกแบบนี้เวลาเห็นเสื้อถูกใจแต่ไม่มีกระเป๋าหน้าอกเอาไว้ให้พกบุหรี่

ฉันเคยขอพ่อว่าไม่ปักนามสกุลบนอกเสื้อได้ไหม เบื่อเหมือนจะตายเวลาใครๆ พุ่งเข้ามาถาม แถมถามเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับฉันสักนิด แรกๆ ฉันก็ยืนยันไปว่าฉันนี่แหละ, ฉันคนนี้คือลูกของพ่อ ลูกสาวคนโต มีน้องอีกสองคนที่ยังไม่เข้าโรงเรียน แต่คนมาถามก็จะทำหน้าตาชอบกลใส่ คือกึ่งๆ เห็นใจกึ่งๆ หยันเยาะว่าฉันช่างไม่รู้ประสาพ่อของตัวแท้ๆ ยังไม่บอกความจริงให้ฟัง

“ถ้ารู้แล้วจะได้อะไรล่ะ” พ่อตั้งคำถามต่อคำถามของฉันอีกที

ก็ไม่ได้อะไรค่ะ-ต้องมีค่ะเสมอเมื่อพูดกับพ่อ-แต่คนเขาไม่เชื่อว่าพี่ทรายเป็นลูกคนโตของคุณพ่อ เขาบอกพี่ทรายมีพี่ แต่พี่ทรายไม่รู้จัก

ก็มี พี่ทรายมีพี่ แต่พี่ทรายก็เป็นพี่ของฟี่กับพราวด้วยไง วันหลังใครถามก็บอกไปว่าค่ะ, อย่ามายุ่ง

พูดจบพ่อก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างถูกใจตัวเอง ทิ้งฉันทำหน้ายู่ไว้แบบนั้น

-วุ่นวายจังผู้ใหญ่เนี่ย-ไม่ใช่พ่อฉันหรอก แต่คนที่มาคอยถามต่างหาก ทำไมไม่รู้จักถามคำถามที่ฉันตอบได้บ้างเล่า เอาแต่ถามถึงใครที่ฉันไม่รู้จัก ไม่เคยเจอไม่รู้ว่ามีตัวตนด้วยซ้ำ ถ้าจะคอยจ้องถามแค่นี้เพราะนามสกุลเดียวกันก็พอเถอะ ใครมันจะไปตอบได้ แค่ต้องนั่งบอกครูกับเพื่อนว่าพ่อกำลังถ่ายหนังเรื่องอะไร มีใครเล่นบ้างก็เบื่อจะตายอยู่แล้ว

“ไหน เอาลายเซ็นมาดูซิ”

ฉันยื่นกระดาษไปอย่างจ๋อยๆ รู้ว่าต้องโดนดุแน่ๆ แต่ฉันก็พยายามแล้วนี่นา กระดาษแผ่นเดียวเอามาหัดเขียนมันก็บาง จะไปเหมือนเวลาเซ็นชื่อลงบนสมุดการบ้านหนาๆ ได้ยังไง

“ตรง ส.เสือต้องลากหางยาวกว่านี้สิ ไอ้ตรงกลางๆ ไม่ต้องไปเน้นก็ได้ ลากขยุกขยิกไปเถอะ มันสำคัญที่ตัวแรก ถ้ามั่นใจคนเขาก็จะจับไม่ได้”

คนวิจารณ์นอนตะแคงเอามือเท้าคางข้างหนึ่ง มืออีกข้างก็ชี้ให้ดูจุดผิดของฉัน ผมยุ่งๆ ย้อมสีน้ำตาลแดงสะท้อนแดดยามบ่าย

–นี่ทรงที่เท่าไหร่แล้วนะ– ตอนแรกผมตรง แล้วก็มาผมสั้นที่ทำฉันร้องไห้ ม้วนตัวหนีไปในผ้าม่านทันทีที่ได้เห็น ผมยาว ผมดำตรงสลวยนั่นหายไปไหนกัน แล้วนี่เหลือแค่นี้ มีแม่ที่ไหนเขาตัดผมสั้นกุดแค่นี้ไปรับลูกที่โรงเรียนกันบ้างเล่า

“พี่ทราย ฟังแม่อยู่รึเปล่า” แม่ยกกระดาษโบกๆ เรียกความคิดของฉันกลับมา แม่จุดบุหรี่แล้วเพ่งดูกระดาษที่เกลื่อนไปด้วยลายเซ็นของแม่แต่เขียนจากฝีมือฉัน

“เนี่ย ถ้าไม่เหมือนก็ต้องมาปลุกให้แม่คอยเซ็นให้ทุกเช้า ไม่ไหวหรอกนะ เอาใหม่ หัดให้เหมือน เดี๋ยวแม่มาดูอีกที”

ฉันเบื่อเรื่องชื่อเรื่องนามสกุลนี่เสียจริง

 

4.”แม่เป็นแม่ที่แย่ที่สุดเลยนะมูนนี่”

“จริงจ้าแม่ แม่ห่วยแตกสุดๆ เลยจ้า”

ในวัยเยาว์ของเราทุกคนล้วนมีความทรงจำถึงอะไรบางอย่าง ความทุกข์ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นความทุกข์ และความสมบูรณ์แบบตามมาตรฐานของสังคมก็อาจเป็นความอึดอัดชนิดหนึ่ง ดินแดนแห่งจินตนาการไม่ใช่เพียงความฝันที่ถูกทำให้เป็นจริงด้วยงบลงทุนพันล้าน แต่คือซอกหลืบข้างที่พัก บ้านร้างผุพัง หรือบนโต๊ะนั่งเล่นในสนามหญ้ารกเรื้อ

มูนนี่ สกูตตี้ แจนซีย์-เด็กทั้งสามอยู่ตรงปากเหวตามมาตรฐานความสมบูรณ์แบบทางสังคม

แต่ก็นั่นแหละ, อย่างที่ฉันบอกเอาไว้

เราเป็นใคร ดีนักหนามาจากไหน ถึงจะไปตัดสินชีวิตพวกเขาได้?