การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ขาของแม่ แขนของฉัน

ปราศจากคำพูด และปราศจากคำถาม แม่เพียงแต่ลุกเดินออกไป…แค่จากไป และหายไปกับความมืดที่ห้อมล้อมอยู่

มีเหลือเพียงตัวฉัน นั่งอยู่แคร่ใต้ถุนบ้าน มองออกไปยังลำน้ำที่มืดสลัว หากเสียงน้ำจากฝายยังไหลระริน

แม่ได้ยินมัน ฉันแน่ใจ ประโยคที่พูดออกไป

แม่ได้ยินมัน

 

เกลียด! ฉันเกลียดมันจริงๆ! แขนข้างที่มีเฝือกเกะกะอยู่อย่างนี้ ดูเอาสิ มันช่างเป็นลำแขนที่อัปลักษณ์เสียนี่กระไร

ดูเหมือนเฝือกจะเป็นสีขาวขึ้นอย่างเด่นชัด ยิ่งเด่นชัด เมื่อฉันเพ่งจ้องมองมันอยู่ในความมืด

นี่มันคือส่วนอัปลักษณ์ของฉัน ประจักษ์พยานของชีวิตห่าเหวที่จะไม่มีวันดีขึ้น ไม่ว่าจะพยายามสักแค่ไหน

จนแล้วจนรอด ฉันก็ยังคงกลับมาที่นี่…เพื่อจะเป็นอีพี่ คนที่ไม่เอาไหน

 

“นมของหนูสวยจริงๆ เลย”

มือนุ่มนวลกลับหยาบ และในความหยาบกลับทำให้ฉันรู้สึกอ่อนเหลวอย่างไม่น่าเป็นไปได้ ปลายนิ้วสะกิดเข้าที่ตุ่มไตในอกเสื้อ

“เฮียชอบจริงๆ”

น้ำเสียงที่สั่นพร่า ดูน่าชังและน่าขยะแขยง แต่ใบแดงที่ซ้อนกันอยู่บนโต๊ะ ทับด้วยหนังสือปกแข็ง ก็ทำให้ฉันต้องพยายามกลั้นความรู้สึกเอาไว้

แต่บางที…ที่น่าชังกว่า อาจจะเป็นอารมณ์อันลึกเกินกว่าจะเข้าใจ กับร่างกายที่สะดุ้งไหวไปกับการกระทำ

หัวก้มลงต่ำ จนเห็นสันคอหนาสีน้ำตาลเข้ม มือฉันสอดเข้าใต้กลุ่มผมตามสัญชาตญาณ

มันจะต้องเป็นแค่การแสดง…

แต่ทว่า ทันทีที่ปลายลิ้นเปียกๆ ฉกแตะเข้ามา และรัวระริกพลิกไหว ฉันก็เริ่มหายใจติดขัด สำนึกเลือนรางว่าปลายนิ้วเท้ากำลังจะจิกงอลงไปบนไม้กระดานผ่าวร้อน

แดดส่องแสงเข้ามาทางหน้าต่าง มันคือกลางวันอันเหนอะอ้าว และเราอยู่กันชั้นบนอีกหนหนึ่ง

 

[ฉันถามนกสีน้ำตาลว่าแดนดินถิ่นไหนที่เจ้าไปมาแล้วมีความสุขที่สุด * 1

บนยอดเขาสีเทาที่ส่งยอดขึ้นไปเสียบฟ้าทางทิศตะวันตก

หรือว่าตามหมู่เกาะน้อยใหญ่สีดำทะมุนที่ยืนยามระวังตรงอยู่ตามประตูทะเลด้านใต้

ในไร่นาสาโทอันไพศาลที่ยื่นแขนสีเหลืองอวบออกมากวัดไกวเมื่อใกล้จะถึงเดือนมกราคม

ในเรือกสวนสีเขียวอันร่มรื่นและดกดื่นไปด้วยผลไม้

หรือว่าในเมืองใหญ่สีฝุ่นที่แออัดยัดเยียดไปด้วยแท่งคอนกรีตของผู้คนนับล้าน]

“ชอบอ่านหนังสือมากเลยหรือ”

“อือ”

พยักหน้า เพื่อจะรับรู้ต่อว่า มือใหญ่หนายังบีบคลึงหนักเบาสลับกันไป

“งั้นอ่านไปสิ ออกเสียงด้วยนะ”

มืออีกข้างผละออกไปคว้าหนังสือมาจากบนโต๊ะ ใบแดงติดมาด้วยหนึ่งใบ และนายจ้างก็สอดมันกลับเข้าไปในหน้าหนังสือ

“ถือไว้นะ เปิดเจอหน้าไหนให้อ่านหน้านั้น”

“…อ่านทำไม”

“อ่านไปก็แล้วกัน”

[ฉันถามปลาสีเงินว่าน่านน้ำแห่งไหนที่เจ้าไปมาแล้วมีความสุขที่สุด

ตรงใจกลางสะดืออันสุดลึกที่ชาวเรือนพากันบวงสรวงเซ่นไหว้

หรือว่าใต้แท่งน้ำแข็งสีขาวโพลนอันเย็นยะเยียบทางขั้วโลกเหนือ

ในทะเลสาบอันสงบนิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเหนือเขื่อนพลังน้ำมหึมา

หรือว่าในแควน้ำอันเชี่ยวกรากที่เต็มไปด้วยเกาะแก่งและโกรกผา

ในแอ่งธารน้ำที่ตกจากไหล่เขาสูงไหลลงมารวมกัน

หรือว่าในอ่างแก้วราคาแพง…]

 

“นักเขียนคนโปรดของเฮีย”

ปากผละออกมาพูด และก่อนจะก้มหัวกลับเข้ามา

“เขียนหนังสือดีชิบหาย…” สบถแล้วเปลี่ยนเสียง “อย่างนี้ดีมั้ย…”

เกือบสะดุ้ง เพราะขณะวางหนังสือไว้บนผมชื้นเหงื่อ เพื่อให้หัวนั้นช่วยประคองรองรับให้ สะโพกของฉันบดเบียดลงไปกับฟูกหนา และอย่างช้าๆ ค่อยยกขาขึ้นโอบรอบแผ่นหลัง

ในท่านั้น แขนที่เข้าเฝือกของฉันเพียงนิ่งแข็งค้างอยู่ แต่ทุกส่วนกำลังเริ่มสะทกสะเทือนไหว

“อ่านอีกสิ”

ด้วยน้ำเสียงพร่าต่ำ แต่มีคำสั่งอยู่ในนั้น ฉันใช้ปลายนิ้วพลิกหน้าถัดไป และอย่างรวดเร็วรีบพับหนีบใบแดงเอาไว้

ทุ่มเทไปขนาดนี้ ทั้งหมดต้องเป็นของฉัน

[…ฉันถามคนที่มีความทุกข์ว่าแห่งหนตำบลใดที่ท่านไปมาแล้วมีความสุขที่สุด

ชนบทอันเงียบสงบที่อร่ามงามไปด้วยป่าและเขาลำเนาไพรและธารน้ำ

หรือว่ากลางไร่นาอันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยข้าวปลาธัญญาหาร

ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ใหญ่ยิ่งไปด้วยการทำบุญสุนทานโดยใจสมัคร

หรือว่าในอาคารทันสมัยอันเนืองแน่นไปด้วยปัญญาชนที่ร่ำเรียนมาจากเมืองฝรั่ง

ในลานบ้านที่มีการร่ายรำทำเพลงกันตามประสาคนในท้องถิ่น

หรือว่าในห้องแอร์คอนดิชั่นที่ระงมไปด้วยเสียงดนตรีที่เลียนแบบมาจากตะวันตก]

 

ฉันคิดถึงแม่ไหม ในช่วงเวลาเหล่านั้น ณ ขณะนั้น ที่มีคนคนหนึ่งกำลังฟอนเฟ้นอยู่บนร่างกาย

ฉันคิดถึงแม่ไหม ในเวลานมที่กำลังเริ่มตั้งเต้า แข็งตัวขึ้นเรื่อยๆ ตามการสัมผัส

ฉันคิดถึงใครบ้าง ยามค่อยๆ กางขาออก

อย่างช้าๆ ที่รู้สึกได้ถึงการแตะต้องในร่องหลืบอันเคยลับเร้น แต่กลับเป็นที่ที่มีคนแปลกหน้าเข้ามาทักทายมัน

แล้วมันต่างกันไหม…กับเวลาที่ใครอื่นเคยสัมผัส

แพรวพลอย ครูลินดา นังแพศยาคนนั้นด้วย…

แม่เคยเป็นอย่างฉันไหม ร่างกายรู้สึกอย่างหนึ่ง สมองกำลังคิดอย่างหนึ่ง

และในบางเสี้ยว เหมือนมีเส้นด้ายตึง ขึงอยู่ในกะโหลกของฉัน

 

แม่เพียงแต่ลุกเดินออกไปจากฉัน เหมือนที่แม่มักเป็นฝ่ายทำมัน ในสิทธิ์ของการเป็นคนที่เติบโตกว่า

และอาจเพราะแม่เป็นแม่ แม่จึงรู้ว่า

ฉันจะทำได้เพียงนิ่งงันรอเวลา

ที่จะจากไปอีกครั้ง

ไปให้เร็วที่สุด

จากบ้านที่ไม่เคยเป็นของฉัน

[ฉันถามคนผู้มีความสุขว่าสถานที่ใดที่ท่านไปมาแล้วมีความสุขที่สุด

ภัตตาคารหรูหราที่มีนางเสิร์ฟมาคอยปรนนิบัติในอัตราชั่วโมงละยี่สิบบาท

หรือว่าสถานอาบน้ำและอบนวดตู้เย็นที่มีหญิงสาวให้บริการขันแข็งหกสิบบาทต่อชั่วโมง

สนามกอล์ฟอันยาวเหยียดไปด้วยแนวเนินเขียวขจีที่หัวหินและบางพระ

หรือว่าสถานโบว์ลิ่งอันครึกโครมที่มีรางกลิ้งขนาดสาบสิบสองเลนในกรุงเทพฯ

ป่าเขาลำเนาไพรอันคลาคล่ำไปด้วยสรรพสัตว์สำหรับการล่ายิงตามแบบฉบับของผู้ดีมีเงิน

หรือตามสถานตากอากาศชายทะเลอันครบครันไปด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสำหรับกามกรีฑา…]

ฉันไม่รู้จักสักอย่างเลยว่า ที่ตัวหนังสือเหล่านั้นบอกออกมามันคือสถานที่ไหนอย่างไร

เข้าใจเพียงบางคำ

กาม…ความสุข…ยี่สิบบาท…หกสิบบาท

มันอาจจะคล้ายๆ ที่นายจ้างกำลังมอบให้ฉัน นับตั้งแต่วันที่ฉันบอกกับเขาว่า แม่ขาหัก และฉันจะต้องกลับบ้าน

แต่ตัวฉันสั่นสะท้าน เขาทำให้ฉันสั่นสะท้าน เหมือนมีเปลวไฟแผดเผาแลบเลีย…ทุกๆ ครั้ง ที่ปลายลิ้นของเขาเองก็ลูบเร้าโลมเลีย

ฉันยันแขนข้างที่ปราศจากเฝือกช่วยประคองหนังสือ พยายามรั้งเล่มหนังสือให้แบะนิ่งอยู่บนหัวกะโหลกเบื้องหน้า

[ฉันถามนกสีน้ำตาล และปลาสีน้ำเงิน

นักทัศนาจรเงินหลวง และพระธุดงค์ผู้นุ่งห่มด้วยผ้าสีฝาด

คนผู้มีความทุกข์ และคนผู้มีความสุข

และอื่นๆ และอื่นๆ…]

หากคงย่อมจะมีแต่ฉัน ที่นั่งโง่เง่าเซอะซะอยู่ใต้ชายคาบ้านของคนอื่น

ทุกคนล้วนแต่เป็นคนอื่น

หากเข้านอนในคืนนี้ พรุ่งนี้เมื่อฉันลืมตาตื่น โลกก็คงไม่ได้เปลี่ยนไปไหน

ฉันยังมีแม่ที่ไม่เคยคิดถึงฉันเลย มีพี่สาวที่ไม่เคยมองเห็นใคร

มีพ่อที่ไม่เอาไหน จริงสิ พ่อที่ไม่เคยทำอะไรมากไปกว่ายิ้มสว่างไสวอย่างโง่ๆ

หรือว่าเราทุกคนล้วนแต่เป็นคนโง่

เราล้วนแต่เป็นคนโง่ ในโลกที่ต้องอยู่กับมัน

[คำถามนั้นเปล่งออกไปทุกเมื่อเชื่อวัน

ทั้งในยามฝนตก และยามแดดออก

ทั้งในยามทิวาวารแห่งแสงตะวันฉาย และในยามรัตติกาลแห่งเงาของดวงดาว

และสะเนียงนั้นก็ได้สะท้อนกลับมา

เป็นคำถามแก่ตัวฉันเอง

อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และทุกเมื่อเชื่อวัน]

 

ฉันตัดสินใจแล้วจริงๆ นะ ฉันจะไม่กลับมาที่นี่อีกต่อไป ฉันจะไปจากที่แห่งนี้ นับตั้งแต่วินาทีนี้ ที่จะรวบรวมทุกความคิดคำนึงทั้งหมดให้…ฝากไว้กับความกระสันซ่านซาบ ที่เอิบอาบบนเนื้อตัวร่างกาย

มันคือสิ่งที่จับต้องได้ มันคือสิ่งๆ หนึ่งที่มักมีคนเต็มใจ จะให้และรับจากฉัน

และมันยังมีค่ามีราคา

มีจนกระทั่งเรียกน้ำตาออกมากลบตา

ในตอนที่ฉันขบเขี้ยวลงไปจนเกือบจมบ่า กระตุกสั่นระเร่าทั้งเนื้อตัวแขนขา ในสาบกลิ่นเหงื่อและเนื้อหนังสะพรั่งคราบไคล ในตัวอักษรที่ปลิวว่อนทั่วห้องจนเรืองรองกว่าสิ่งใดๆ

ในใบแดงที่นายจ้างเคยม้วนยัดเข้ามาให้ ปากเล็กๆ ของฉันคาบเอาไว้ และเคยนึกแต่เพียงเรื่องโง่ๆ ว่า

ฉันแขนหัก แม่ขาหัก

หากฉันกลับบ้าน เราจะได้ไปหาหมอด้วยกัน ขาของแม่ แขนของฉัน

จะได้รับการรักษา…
—————————————————————————
* 1 บทกวีของ ราช รังรอง จากเล่ม ขอบกรุง