เกษียร เตชะพีระ : ทรัมป์กำลังทำให้จีนยิ่งใหญ่ขึ้นมาอีกครั้ง (1)

เกษียร เตชะพีระ

เมื่อปีที่แล้ว หนังแอ๊กชั่นจีนเรื่อง “Wolf Warrior 2” หรือ “กองพันหมาป่า” ในพากย์ไทย ทำรายได้ทะลุทะลวงสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งของหนังทุกเรื่องเท่าที่เคยฉายมาในตลาดจีนประเทศเดียวถึง 5.67 พันล้านหยวน (ราว 2.5 หมื่นล้านบาท)

ไม่เพียงเท่านั้น ยังเกิดปรากฏการณ์แปลกพิสดารที่แสดงออกซึ่งความนิยมแบบปลื้มชาติเหลือล้นของผู้ชมชาวจีนต่อหนังเรื่องนี้

กล่าวคือ เมื่อหนังฉายจบลง ผู้ชมในโรงหนังบางแห่งต่างพากันยืนขึ้นปรบมือชื่นชมหนังเรื่องนี้สนั่นหวั่นไหว

หรือบ้างก็ร่วมกันร้องเพลงชาติจีนส่งท้ายก่อนออกจากโรง!

อันที่จริงหนัง “Wolf Warrior 1” ที่เป็นภาคแรกของเรื่องนี้และเข้าโรงเมื่อปี ค.ศ.2015 ก็ไม่ได้เป็นที่นิยมกล่าวขวัญถึงเท่าใดนัก

ทำให้ไม่มีใครคาดคิดว่าภาคสองของมันจะเป็นอะไรมากไปกว่าหนังบู๊ล้างผลาญยิงกันแหลกดูเอามันอีกเรื่องซึ่งประเดี๋ยวเดียวคนก็ลืม

น่าเป็นไปได้ว่าคนจีนที่แห่ไปชม “Wolf Warrior 2” จำนวนมากเอาเข้าจริงก็ไม่ได้ดูภาคหนึ่งมาก่อน

สําหรับพล็อตเรื่องภาคสองก็เรียบง่ายธรรมดาว่าตัวพระเอกโดดเดี่ยวเดียวดาย (เหมือนหมาป่า) ผู้เคยเป็นอดีตสมาชิกกองกำลังพิเศษสังกัดกองทัพปลดแอกประชาชนจีนได้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปทำหน้าที่ รปภ. ยังประเทศสมมุติแห่งหนึ่งในทวีปแอฟริกาแล้วปฏิบัติการช่วยชีวิตพลเรือนทั้งชาวจีนและต่างชาติจากกบฏชาวพื้นเมืองและทหารรับจ้างฝรั่ง นำพาพวกเขาไปยังที่ปลอดภัยได้สำเร็จ

อย่างไรก็ตาม มีฉากบางฉากในหนังเรื่องนี้ที่สื่อสาระสำคัญอันเป็นแก่นแกนของหนังที่จับใจผู้ชมชาวจีนยิ่ง อาทิ

– ระหว่างที่พระเอกชาวจีนเข้าไปช่วยแพทย์หญิงชาวอเมริกันคนหนึ่ง เธอกล่าวขึ้นว่า “เดี๋ยวนาวิกโยธินอเมริกันก็จะมาช่วยพวกเราเองแหละ”

พระเอกจึงถามกลับไปว่า “ก็แล้วพวกเขาอยู่ไหนล่ะตอนนี้?”

หมอหญิงคนนั้นรีบโทร.เข้าไปที่สถานกงสุลสหรัฐในประเทศดังกล่าว ปรากฏว่ามีเทปบันทึกเสียงตอบมาว่า “โชคไม่ดี เราปิดทำการอยู่ตอนนี้”

– ฉากบู๊ตอนจบ ผู้ร้ายชาวอเมริกันเสียดเย้ยพระเอกจีนว่า “คนอย่างลื้อ (จีน) มีแต่จะต่ำต้อยด้อยกว่าคนอย่างอั๊ว (ฝรั่งมะริกัน) ตลอดไป หัดทำใจให้คุ้นกับมันซะ”

จากนั้นพระเอกจีนก็พะบู๊จนผู้ร้ายอเมริกันคนดังกล่าวม่องเท่งไปก่อนกล่าวตอบตบท้ายว่า “ไอ้นั่นมันเป็นประวัติศาสตร์ห่าเหวไปแล้วเฟ้ย”

– หนังจบลงด้วยภาพหนังสือเดินทางหรือพาสปอร์ตสาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมข้อความว่า “อย่ายอมแพ้ ถ้าคุณประสบภยันตราย โปรดระลึกไว้ว่ามาตุภูมิอันเข้มแข็งจะหนุนหลังคุณอยู่เสมอ” เป็นต้น

พลังอันเป็นเสน่ห์ของหนัง Wolf Warrior 2 จึงไม่ได้อยู่ที่พล็อตเรื่องหรือฉากตอนบทสนทนาที่ทื่อๆ ตรงๆ แต่อย่างใด แต่อยู่ตรงมันเข้ายึดกุมสาระบางอย่างที่สำคัญมากต่อหัวใจคนจีนปัจจุบัน นั่นคือ :-

ภาพลักษณ์ที่คนจีนมองประเทศตัวเองว่าแข็งแกร่งล่ำสันบึกบึนกว่าเดิม ซึ่งไม่เพียงแต่สามารถไปแสดงตนอย่างเปี่ยมพลังขันแข็งในที่ต่างๆ ทั่วโลกนอกเมืองจีนเท่านั้น หากยังเล่นบทเป็นผู้พิทักษ์ปกป้องคนบริสุทธิ์อ่อนแอและเป็นผู้นำอีกด้วย

เหมือนที่ครั้งหนึ่งหนังชุด Rambo ของพระเอกซิลเวสเตอร์ สตอลโลเน เคยจับใจอเมริกันชนในยุคประธานาธิบดีเรแกนเมื่อคริสต์ทศวรรษที่ 1980 นั่นเอง

ต่อเรื่องนี้ อีวาน ออสนอส ผู้สื่อข่าวชาวอเมริกันของหนังสือพิมพ์ The Chicago Tribune และนิตยสาร The New Yorker ในเวลาต่อมาซึ่งเคยไปประจำอยู่ในจีนระหว่าง ค.ศ.2005-2013 ตั้งข้อสังเกตว่ามันเป็นโครงสร้างความรู้สึกแบบใหม่ที่ไม่เคยมีมาในสังคมจีนก่อนช่วงต้นสหัสวรรษนี้

หากย้อนไปเมื่อปี ค.ศ.2005 ออสนอสชี้ว่าตอนนั้นมีธุรกิจจีนน้อยรายมากที่ประกอบการอยู่ทั่วโลก

อีวาน ออสนอส ผู้สื่อข่าวอเมริกัน

ไม่มีชาวจีนทำงานเป็นพนักงานของบริษัทข้ามชาติจีนจำนวนมากมายก่ายกองในทวีปแอฟริกาหรือลาตินอเมริกาอย่างในปัจจุบัน

กระบวนการแผ่ขยายอิทธิพลข้ามชาติของจีนเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น

และในช่วงจังหวะใกล้เคียงกันนั้นเองที่ทางการจีนประกาศริเริ่มนโยบาย “ออกไปข้างนอก” ซึ่งแปลตรงตัวว่าส่งเสริมให้ธุรกิจจีนและคนจีนเดินทางออกไปประกอบการในพื้นที่ส่วนอื่นของโลกที่จีนไม่เคยไปปรากฏตัวอยู่มาก่อน – ทั้งนี้ ไม่ใช่ในความหมายจีน “ไชน่าทาวน์” แบบเยาวราชซึ่งพอมีตามเมืองใหญ่ต่างๆ อยู่แล้วบ้าง – หากแต่ในความหมายป่าวร้องชักชวนธุรกิจจีนและคนจีนให้ไปบุกตะลุยปักธงเปิดพื้นที่นอกจีนกันเลยทีเดียว

ทั้งหลายทั้งปวงนี้เกิดขึ้นในบริบทที่สังคมจีนเคยมีประวัติศาสตร์ในการมองตัวเองว่าค่อนข้างอ่อนแอมานานนับร้อยปีตั้งแต่ถูกมหาอำนาจอาณานิคมตะวันตกชาติต่างๆ รวมทั้งญี่ปุ่นบุกเข้ามาแก่งแย่งแบ่งปันยึดครองพื้นที่ส่วนต่างๆ ของจีนราวกับผ่าลูกแตงโมแบ่งกันกินในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา

จนถึงแก่ เหลียงฉี่เชา (ค.ศ.1873-1929) ปัญญาชนหัวใหม่ผู้นำขบวนการปฏิรูปร้อยวันที่ล้มเหลวของจีนในสมัยปลายราชวงศ์เช็งเรียกประเทศจีนว่า “คนป่วยแห่งเอเชีย”

ภาพลักษณ์ดังกล่าวยังติดตัวตรึงตราผ่านการปฏิวัติคอมมิวนิสต์จนมาถึงช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 เมื่อจีนภายใต้แนวทางการปฏิรูปสี่ทันสมัยของเติ้งเสี่ยวผิงเริ่มเปิดประเทศและมั่งคั่งไพบูลย์ขึ้น แต่กระนั้น แม้จนเมื่อไม่นานมานี้ จีนก็ยังพยายามงำประกาย เหนี่ยวรั้งการสำแดงพลานุภาพและศักยภาพเต็มที่ของตนไว้ ตามคำชี้แนะของเติ้งเสี่ยวผิงในทำนองว่าจีนควรต้อง

“อำพรางแก่นแกน สะสมกำลัง ซุ่มซ่อนยาวนาน เพื่อรอโอกาส”

กล่าวคือ ต้องให้มั่นใจว่าจีนเดินตามหลังสหรัฐอเมริกาสักก้าวหนึ่งเพื่อไม่ไปกวนใจอเมริกาให้ระแวงรำคาญจีนขึ้นมา ปล่อยให้อเมริกาหลงทะนงว่าตนเป็นอภิมหาอำนาจหนึ่งเดียวในโลกไปพลางก่อน ขณะที่จีนค่อยๆ สร้างสมกำลังให้เข้มแข็งขึ้นอย่างแน่วแน่มั่นคงตามลำดับ

กระทั่งเมื่อสามสี่ปีหลังมานี้เองที่จีนเริ่มมองภาพลักษณ์ตัวเองเปลี่ยนไป กลายเป็นตัวแสดงที่เข้มแข็งทรงอำนาจขึ้นอย่างมากในเวทีโลก และกวดใกล้ที่จะกลายเป็นคู่แข่งคู่ชิงชัยของสหรัฐอเมริกาเข้าไปทุกที

มาบัดนี้ ภายใต้การนำของเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์และประธานรัฐสีจิ้นผิง ช่วงเวลาแห่งการ “อำพรางแก่นแกน สะสมกำลัง ซุ่มซ่อนยาวนาน เพื่อรอโอกาส” ก็เป็นอันจบสิ้นลงแล้ว ดังที่เขากล่าวปราศรัยอย่างเปิดเผยต่อที่ประชุมสมัชชาพรรคครั้งที่ 19 เมื่อเดือนตุลาคมศกก่อนว่ายุคสมัยใหม่ได้มาถึงแล้วที่ซึ่งจีนขยับเข้าใกล้ฐานะศูนย์กลางเวทีโลก (เหมือนชื่อประเทศจีนมาแต่เดิมว่า “จงกั๋ว” หรือ “The Middle Kingdom” หรือ “มัธยประเทศ”) โดยนำเสนอ “ทางออกแบบจีน” เป็นทางเลือกใหม่แก่โลกนอกเหนือจากระบอบเสรีประชาธิปไตยแบบตะวันตก

ข้อที่เป็นปฏิทรรศน์ (paradox) อันแสบร้ายก็คือ ออสนอสเห็นว่าประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกานี่แหละที่กำลังช่วยทำให้จีนยิ่งใหญ่ขึ้นมาอีกครั้ง!

China’s President Xi Jinping (L) and US President Donald Trump attend a welcome ceremony at the Great Hall of the People in Beijing on November 9, 2017. / AFP PHOTO / FRED DUFOUR

(อ่านต่อสัปดาห์หน้า)