ความเชื่อเรื่องข้าว

หนุ่มเมืองจันท์facebook.com/boycitychanFC

ประเด็นเรื่อง “ข้าว 10 ปี” ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันมานานหลายสัปดาห์

มีหลายมุมให้มอง

แต่มุมที่น่าสนใจก็คือ เรื่อง “ความเชื่อ”

“ข้าว 10 ปี” คือ ข้าวสารล็อตสุดท้ายจากโครงการจำนำข้าวในยุครัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”

ในทางการเมือง โครงการจำนำข้าว เป็น “บาดแผล” ที่แสนเจ็บปวดของพรรคเพื่อไทย

เป็นคดีความที่ทำให้รัฐมนตรีและข้าราชการหลายคนต้องติดคุก

ในขณะที่ “ยิ่งลักษณ์” ก็ถูกตัดสินจำคุกจากคดีนี้เช่นกัน

เพียงแต่เธอประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าได้ถูกต้อง และหลบหนีผ่านช่องทางธรรมชาติไปก่อน

ช่วงเวลาเกือบ 10 ปีหลังการรัฐประหาร “ข้าวสาร” ในโครงการจำนำข้าวถูกกล่าวหาว่าเป็น “ข้าวเน่า”

มีการเปิดประมูลหลายครั้ง แต่ละครั้งก็ขายได้ในราคาต่ำ

บางล็อตขายเป็น “ข้าวเสีย” เพื่อนำไปผลิตเป็นอาหารสัตว์หรือเป็นเชื้อเพลิงผลิตพลังงาน

มีการกำหนดเกณฑ์แปลกๆ เช่น คลังไหนมีข้าวสาร 25% เป็น “ข้าวเสีย” ให้ถือว่าข้าวสารในคลังทั้งหมดเป็น “ข้าวเสีย” ขายในราคาถูกๆ

มีโรงสีหลายแห่งออกมาประท้วง ถึงขั้นพร้อมจะประมูลข้าวแข่ง แต่รัฐบาลยุคนั้นไม่ยอม

เรื่องราวการประมูลข้าวในช่วงรัฐบาล คสช.ที่มีมาตรา 44 เป็นเครื่องป้องกันความผิดของตัวเองยังเป็น “ปริศนา” ให้ถกเถียงกันจนถึงทุกวันนี้ว่าข้าวที่ถูกประมูลไปเป็น “ข้าวเน่า” จริงหรือไม่

หรือว่าจับมือกับพ่อค้าบางกลุ่มทำ “ข้าวดี” ให้เป็น “ข้าวเน่า” เพื่อประมูลในราคาถูกๆ

ก่อนนำมาขายเป็น “ข้าวดี” ในราคาสูง

ยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว

เพราะคนที่เกี่ยวข้องกับการประมูลบางคนได้เงินเข้ากระเป๋าตัวเอง และยังได้ผลทางการเมืองทำให้ตัวเลขขาดทุนในโครงการจำนำข้าวเพิ่มสูงขึ้น

“ข้าว 10 ปี” ที่เป็นข้าวล็อตสุดท้ายจึงมีความหมายในทางการเมืองมากสำหรับพรรคเพื่อไทย

ทั้งเป็นการหันปลายหอกสนองคืน คสช.

ให้สังคมตั้งคำถามกับการประมูลข้าวในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ และเป็นการปูทางให้อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์กลับบ้าน

กลับมาเล่นสงกรานต์ปีหน้าในเมืองไทย

ตามที่ “พี่ชาย” กรุยทางไว้แล้ว

 

ปัญหาใหญ่ของพรรคเพื่อไทย คือ การวางจังหวะเกมพลาด และไม่เข้าใจในพลังแห่ง “ความเชื่อ”

พรรคเพื่อไทยวันนี้ไม่เหมือนกับพรรคเพื่อไทยในวันก่อน

หลังจากที่เขาไม่รักษา “คำสัญญา” เรื่อง “ไม่เอาลุง” ที่ให้ไว้กับประชาชนในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง

“ความเชื่อ” ที่พรรคเพื่อไทยเคยสั่งสมมายาวนาน และเป็นอาวุธสำคัญที่เหนือกว่าพรรคการเมืองอื่น

ถูกทำให้พังทลายสิ้น

พูดอะไรก็ไม่มีใครเชื่อว่าจะทำจริงตามคำสัญญา

ดังนั้น เมื่อกระทรวงพาณิชย์เลือกที่จะเล่นเกมพิสูจน์ว่า “ข้าว 10 ปี” ยังเป็น “ข้าวดี”

พลังแห่ง “ความไม่เชื่อ” จึงเริ่มทำงาน

ความจริงแล้วพรรคเพื่อไทยต้องการแค่เปิดประมูลข้าวล็อตนี้แล้วขายได้ราคาดีๆ

ไม่ใช่ราคา “ข้าวเน่า” เพื่อนำไปผลิตเป็น “อาหารสัตว์”

ถ้าประมูลสำเร็จเขาก็ชนะแล้ว

ทำให้คนเกิดคำถามในใจว่าขนาด “ข้าว 10 ปี” ยังขายได้ราคาดีขนาดนี้

ดังนั้น การประมูลข้าวที่ผ่านมาที่ขายได้ราคาต่ำๆ ต้องมีการทุจริตอย่างแน่นอน

แต่พรรคเพื่อไทยต้องการมากกว่านั้น

ต้องการให้คนไทยได้เห็นว่า “ข้าว 10 ปี” ดีจริงๆ

ดีขนาดหุงกินได้

นั่นคือ ที่มาของการโชว์กินข้าว 10 ปีถึง 2 ครั้ง

ลืมไปว่าเขาต้องเผชิญกับเรื่อง “ความเชื่อ” ถึง 2 เรื่อง

เรื่องแรก คือ ความเชื่อในคำพูดของพรรคเพื่อไทย

วันก่อน พูดว่าจะทำอะไร คนก็เชื่อ

แต่วันนี้แม้จะโชว์ให้เห็นกับตาว่าข้าวล็อตนี้กินได้

คนก็ไม่ยอมเชื่อง่ายๆ

เรื่องที่สอง เป็น “ความเชื่อ” เรื่อง “ข้าว 10 ปี”

คนไทยกินข้าวมาทั้งชีวิต

ส่วนใหญ่จะกินข้าวเก่าไม่เกิน 2 ปี

เกินกว่านั้นก็ไม่ไหวแล้ว

ดังนั้น ถ้าใครมาบอกว่าข้าว 10 ปีกินได้

ส่วนใหญ่จะไม่เชื่อ

ต่อให้รัฐมนตรีจะกินข้าวโชว์ให้เห็น

หรือผู้ส่งออกจะยืนยันว่าข้าวสารเก่า 10 ปีถ้าดูแลดีๆ มีการรมยาสม่ำเสมอ

และเมื่อนำไปเข้าสู่กระบวนการปรับปรุงข้าวที่วันนี้เทคโนโลยีทันสมัยมาก

ข้าว 10 ปีก็กินได้

“ความเชื่อ” ก็ยังมีพลังเหนือกว่าอยู่ดี

 

จากพลัง “ความไม่เชื่อ” ดังกล่าวถูกย้ำอีกครั้งเมื่อนักข่าวช่องวันส่งข้าวล็อตนี้ไปให้ “อาจารย์อ๊อด” เพื่อนำเข้าแล็บ

ใช้กระบวนการวิทยาศาสตร์ตัดสิน

ผลออกมาว่าพบสารที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ไม่เหมาะกับการบริโภค

กระแสเรื่อง “ข้าว 10 ปี” จึงติดลบอย่างหนัก

ช่วงเวลาเดียวกัน “แยม” ฐปณีย์ เอียดศรีไชย และ “ข่าว 3 มิติ” ก็ประกาศจะนำข้าว 10 ปีเข้าพิสูจน์ในแล็บเหมือนกัน

แต่กว่าผลพิสูจน์ในห้องแล็บจะออกมาใช้เวลาหลายวัน

และผลที่ออกมาเป็นไปในทางบวก

“ข้าว 10 ปี” กินได้

ไม่มีสารพิษตกค้างอะไรเกินมาตรฐานเลย

ตอนที่ดูข่าว ผมนึกชื่นชม “แยม” และ “กิตติ สิงหาปัด” แห่ง “ข่าว 3 มิติ” อยู่ในใจ

ทั้งที่รู้ว่ากระแสสังคมที่มอง “ข้าว 10 ปี” เป็น “ข้าวเน่า” แรงขนาดนั้น

แต่เขากล้าสวนกระแส

ยืนหยัดในข้อมูลที่ได้มา

เป็นการนำ “ความเชื่อ” ในตัว “แยม” กับ “ข่าว 3 มิติ” มาเดิมพัน

ผมรู้ว่า “แยม” คงได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้พอสมควร

เหมือนกับตอนที่เธอเปิดโปงเรื่อง “หุ้นไอทีวี” ว่ามีกระบวนการสร้างหลักฐานเล่นงาน “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์”

เธอถูกกล่าวหาว่าเป็น “แยมส้ม” จากกองเชียร์พรรคเพื่อไทย

เพจ “เดอะ รีพอร์ตเตอร์” ของ “แยม” ถูกบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งถอนโฆษณา

แต่เมื่อมีหลักฐานข้อมูลมา เธอก็เล่นข่าวนี้แบบไม่กลัวใคร

สู้กับกระแสกดดันในมุมมืด

พอมาถึงเรื่อง “ข้าว 10 ปี” จาก “แยมส้ม” ในวันก่อน วันนี้เธอถูกกล่าวหาว่าช่วยเหลือพรรคเพื่อไทย

เพราะยืนหยัดด้วย “ความเชื่อ” แบบเดิม

เมื่อ “แยม” ได้ข้าว 10 ปีจากวันที่ไปโรงสี และส่งให้แล็บที่มีคุณภาพพิสูจน์

ได้ผลมาอย่างไรก็ต้องรายงานข่าวแบบนั้น

ทำเหมือนตอนทำข่าว “หุ้นไอทีวี”

ในฐานะเพื่อนร่วมวิชาชีพ ผมเชื่อมั่นในความเป็นมืออาชีพของ “แยม”

แต่ถามว่าถ้าเอา “ข้าว 10 ปี” มาให้ จะกินหรือไม่

ผมจะตอบว่าไม่มีทางเลือกก็คงกิน

แต่หากมีทางเลือก

ขอกินข้าวใหม่ดีกว่าครับ

สุดท้าย “ความเชื่อ” ในใจก็ยังชนะอยู่ดี •

 

 

ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ | หนุ่มเมืองจันท์