เสถียร โพธินันทะ : กงล้อ ประวัติศาสตร์

ประวัติศาสตร์เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด ประเทศต่างๆ ที่มีความเจริญในสมัยโบราณกาล ปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร

ก้าวแรกเราจงระลึกถอยหลังไปสู่อดีต

เมื่อสมัย 6,000 ปี สมัยที่บ้านเมืองแถบลุ่มแม่น้ำไทกริสกับยูเฟรตีสและลุ่มน้ำไนล์กำลังรุ่งเรือง เช่น อียิปต์ สุเมอเรียน บาบิโลน อัสสิเรียน เฟนิเชียน

เราไม่ลืมสมัยเจริญของพระเจ้าฮัมมูราบีแห่งบาบิโลน ไม่ลืมรัชสมัยของพระเจ้าไซรัสแห่งเปอร์เซีย ไม่ลืมกรีกและบุคคลสำคัญอีกคนหนึ่งของกรีก คือพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ผู้มีอาณาเขตอันกว้างใหญ่ไพศาล

ไม่ลืมจีนในรัชสมัยพระเจ้าฉิงสื่อหวงผู้สร้างกำแพงยักษ์ ไม่ลืมพระเจ้าถางไถ้จงและดินแดนต่างๆ ที่พระองค์ตีได้

ไม่ลืมทัพอันมีพลานุภาพพิเศษของพระเจ้าออคโกไดข่านและกุบไลข่าน (เหวียนสือจู๋) ทัพมองโกลของพระองค์สามารถตีได้เปอร์เซีย จีน อินเดียภาคเหนือ อัฟกานิสถาน ตุรกีสถาน อาหรับ และบุกเข้าถึงยุโรป ได้รัสเซีย ฮังการี จนจรดแดนเยอรมนีและจรดฝั่งทะเลเอเดรียติก

ไม่ลืมความรุ่งโรจน์ของอินเดียสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พระเจ้าศีลาทิตย์ พระเจ้าอักบาร์ ไม่ลืมพระเจ้านโปเลียนของฝรั่งเศสใกล้เข้ามา เราไม่ลืมความรุ่งโรจน์ของสุมาตราในสมัยกรุงศรีวิชัย ไม่ลืมอำนาจของเขมรในสมัยนครธม นครวัด จนที่สุดเราไม่ลืมความสามารถของพระเจ้าอโนรธา บุเรงนอง และอลองพญาของพม่า

แต่มาบัดนี้สิ่งเหล่านี้ได้ผ่านไปๆ อย่างไม่มีความเที่ยงแท้ เป็นเพียงแต่ประวัติที่เขาบันทึกลงไว้สำหรับชาวโลกในกาลต่อมาได้รู้ได้เห็น

หลังจากการสิ้นพระชมน์ของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ดินแดนต่างๆ ที่พระองค์ตีได้เป็นอย่างไร ใครเลยจะนึกบ้างว่าพระเจ้านโปเลียนมหาราชของฝรั่งเศสต้องถูกจับขังไว้บนเกาะและสิ้นพระชนม์ในที่คุมขัง ณ บนเกาะนั้น

เขมร พม่า เดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร

การที่จะซื้อเอาชื่อเสียง เกียรตยศหรือดินแดน ทรัพย์สินต่างๆ ซึ่งเป็นของไม่เที่ยง บางทีมีไม่ตลอดชีวิตของเราด้วยการเอาชีวิตมนุษย์ไปพล่าเล่นแลกเอามานั้นเป็นของน่าติเพียงไร

มนุษย์ขาดหลักสำคัญ คือเมตตากรุณาไปเสียจึงได้มีการรบราฆ่าฟันกัน ถ้าเรามีเมตตากรุณาต่อกันและกัน รู้จักการให้อภัยไม่อาฆาตจองเวร คอยช่วยเหลือซึ่งกัน เห็นมนุษย์ทั้งหลายเป็นพี่น้องญาติสายโลหิตเดียวกัน

ไม่มีศัตรูเพราะไม่มีผู้ใดเป็นศัตรูเรา

และเมื่อใดผู้นำของประเทศต่างๆ ได้ยอมละการแผ่อำนาจแบบเดชานุภาพมาเป็นแผ่แบบความรักอันไม่มีขอบเขตจำกัด คือเมตตานี้

และเมื่อใดที่รัฐประศาสน์ทั้งหมดได้ดำเนินไปตามหลักของพระพุทธศาสนา ก็เป็นอันหวังได้อย่างแน่นอนว่าสงครามจะไม่มีแล้ว โลกอันกอปรไปด้วยเพลิงทุกข์ ความเห็นแก่ตัวก็จะลดน้อยสงบลง ดังพระพุทธภาษิตว่า

“ความไม่เบียดเบียน คือ ความสำรวมในสัตว์ทั้งหลายเป็นสุขในโลก”

และท่านนิจิเร็นโชนิน คณาจารย์เอกของนิกายเท็นไดได้กล่าวว่า “เมื่อใดกฎหมายของรัฐแก้ไขไปจนตรงกับหลักธรรมในพระพุทธศาสนา ในขณะนั้นจะบรรลุรุ่งอรุณแห่งสุวรรณสมัย”

ดวงชีพทั้งหลายเอย ท่านอย่าได้เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลายผู้เป็นเพื่อนร่วมโลกของท่านเลย

ในสังสารวัฏฏ์อันไม่มีที่สิ้นสุดนี้ท่านและเขาได้ถูกหมุนเวียนไปเรื่อย ชีวิตเป็นของน้อยอยู่แล้ว ด้วยถูกความเจ็บความตายคอยประหารอยู่ ไม่ควรที่จะช่วยตัดรอนให้มันสั้นเข้าอีก ท่านมีความหวาดกลัวในเมื่อท่านจะถูกประหาร หรือท่านมีความคับแค้นใจในเมื่อท่านถูกเบียดเบียนฉันใด

สัตว์ทั้งหลายก็ฉันนั้นเหมือนกัน

ท่านต้องการมีความสุขฉันใด สัตว์ทั้งหลายก็ฉันนั้น ดวงชีพทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล ท่านทั้งหลายจงแผ่ความรักที่เป็นธรรม

คือ เมตตา กรุณา ในเขาเหล่านั้นจนถึงศัตรูของท่านด้วย

และสรรพสัตว์ในโลกทั้งหมดก็คือภราดรของท่านเอง แล้วนั่นคือก้าวแรกที่ท่านได้ก้าวขึ้นสู่ “วิถีแห่งสัจธรรม” ซึ่งสมเด็จพระศรีศากยมุนีพุทธเจ้า ผู้เป็นนาถะแห่งไตรโลกได้ตรัสไว้