แจกเงินหมื่นไม่ปังอย่างที่คิด

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

บทความพิเศษ | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์

https://www.facebook.com/sirote.klampaiboon/

 

แจกเงินหมื่นไม่ปังอย่างที่คิด

 

ในที่สุดรัฐบาลก็แถลงแนวทางแจกเงินหมื่นตามที่คุณเศรษฐา ทวีสิน และพรรคเพื่อไทยประกาศไว้ตั้งแต่หาเสียงเพื่อตั้งรัฐบาล

จากนี้แรงกดดันเรื่องรัฐบาลผิดคำพูดก็คงจะลดน้อยลง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้อครหานี้จะหายวับไปทั้งหมด เพราะรายละเอียดที่รัฐบาลแถลงก็ต่างจากที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงไว้จริงๆ

คำขวัญของเพื่อไทยช่วงเลือกตั้งคือเลือกเพื่อไทยแล้วคนไทยรวย และต่อให้เป็นเด็กอนุบาลก็รู้ว่าจุดขายของเพื่อไทยคือทำนโยบายแจกเงินโดยเชื่อว่ายิ่งแจกเศรษฐกิจก็จะยิ่งโต นโยบายที่คุณแพทองธาร ชินวัตร และคุณเศรษฐาพูดจึงมีแต่เรื่องอย่างขึ้นค่าแรง, แจกเงินหมื่นทุกคน และทุกครอบครัวรายได้ไม่ต่ำกว่า 20,000

ปฏิเสธไม่ได้ว่ารัฐบาลไม่ทำตามที่พูดเลย นโยบายค่าแรงทั่วประเทศ 400 ในปี 2567 จบด้วยให้แค่โรงแรม 4 ดาวในสิบจังหวัดใหญ่ที่มีลูกจ้างเกิน 50 คน

นโยบายแจกเงินหมื่นทุกคนจบที่แจกแค่คนที่คุณสมบัติผ่านเกณฑ์

ส่วนนโยบายรายได้ครอบครัว 20,000 ไม่ถูกพูดอีกโดยคุณเศรษฐาและคุณแพทองธาร

ด้วยการประกาศแจกเงินหมื่นภายในสิ้นปี 2567 แค่ 50 ล้านคน ไม่ใช่ 56 ล้านคนอย่างที่เคยหาเสียง รัฐบาลได้เข้าสู่ “จุดที่ไม่มีวันหวนกลับ” ของการไม่ทำตามคำพูดอย่างสมบูรณ์แบบไปแล้ว

อย่างมากที่สุดที่รัฐบาลทำได้คือลดความเสียหายจากการไม่ทำตามคำพูดให้น้อยที่สุดเท่านั้นเอง

 

การทำนโยบายเพื่อสร้างคะแนนนิยมเป็นเรื่องธรรมดา ยิ่งเพื่อไทยที่เน้นนโยบายแจกเงินโดยอ้างว่า “กระตุ้นเศรษฐกิจ” ยิ่งเห็นชัดว่าการใช้เงินสร้างคะแนนนั้นสว่างจ้าจนเหมือนมองดวงอาทิตย์กลางแดดแล้ว แต่คำถามคือนโยบายนี้จะทำให้รัฐบาลได้คะแนนจริงๆ หรืออาจไม่ได้คะแนนเพิ่มขึ้นเลย

ประชาชนทุกคนล้วนต้องการให้ทุกรัฐบาลทำตามนโยบาย เมื่อใดที่ประชาชนลงคะแนนเลือกพรรคการเมืองเพราะบางนโยบาย ประชาชนย่อมหวังผลประโยชน์จากนโยบายในระยะเวลาที่กำหนดเสมอ เพราะนโยบายคือคำสัญญาที่พรรคการเมืองต้องให้ตามที่ตกลงกับประชาชน ไม่ใช่ให้ตามใจตัวเอง

ถ้าเปรียบเทียบคำหาเสียงกับหนี้ระหว่างพรรคการเมืองกับประชาชน ประชาชนก็คือเจ้าหนี้ ส่วนพรรคการเมืองคือลูกหนี้ และนโยบายก็คือการใช้หนี้ในเวลาที่ตกลงกันไว้

พรรคการเมืองที่ทำตามนโยบายช้าจึงไม่ต่างจากลูกหนี้ที่ไม่จ่ายหนี้ตามสัญญาจนไม่มีทางที่เจ้าหนี้คนไหนจะพอใจเลย

ด้วยนโยบายรัฐบาลที่ไม่ตรงตามที่คุณเศรษฐา, คุณแพทองธาร และพรรคเพื่อไทยหาเสียงไว้ รวมทั้งด้วยระยะเวลาของการทำนโยบายจริงๆ ซึ่งไม่เป็นไปตามที่กำหนด

โอกาสที่รัฐบาลจะได้คะแนนนิยมเพิ่มจากนโยบายที่ทำล่าช้าและไม่ตรงปกจึงยากยิ่งกว่าโอกาสที่คนไทยจะรวยทันทีที่มีรัฐบาลปัจจุบัน

 

ทฤษฎีของพรรคเพื่อไทยคือแผนแจกเงินจะทำให้เกิด “พายุหมุนทางเศรษฐกิจ” เพื่อฟื้นฟูวิกฤตเศรษฐกิจ แต่การแจกเงินที่ลากยาวไปถึงสิ้นปี 2567 คือหลักฐานว่าแผนนี้คงไม่ทำให้เกิด “พายุหมุนทางเศรษฐกิจ” เพราะไม่มีทางที่พายุหมุนจะหมายถึงการแจกเงินหลังเพื่อไทยไปแล้วหนึ่งปีครึ่งอย่างแน่นอน

ถ้ามองว่าแผนแจกเงินคือการกระตุ้นเศรษฐกิจ การกระตุ้นที่ล่าช้ากว่าการเข้าสู่อำนาจรัฐกว่าหนึ่งปีย่อมไม่มีทางกระตุ้นเศรษฐกิจได้ เพราะหมายถึงเศรษฐกิจไทยจะไม่มีอะไรกระตุ้นอีกเลยจนกว่าจะถึงช่วงปลายปี 2567 ซึ่งนานเกินไปสำหรับเศรษฐกิจที่เติบโตช้าและอยู่ในภาวะชะงักงันมาแล้วหลายปี

เงินห้าแสนล้านที่จะไหลพรวดเข้าระบบเศรษฐกิจนั้นทำให้เศรษฐกิจโตแน่

ประเด็นคือโตเต็มที่ตามที่ธนาคารโลกบอกคือ 1% ซึ่งไม่ได้ถือว่าโตมากนัก

แต่ปัญหาคือการแจกเงินสูตรที่คุณเศรษฐาแถลงนั้นดึงมาจากงบประมาณปี 2567 ราว 175,000 ล้านบาท จึงเป็นเงินที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจอยู่แล้วเท่านั้นเอง

ข้ออ้างของพรรคเพื่อไทยสมัยที่คิดจะกู้เงินแจก 5 แสนล้านคือจะได้เงินก้อนใหม่มาอัดฉีดให้เศรษฐกิจโต ถ้าเอาคำพูดเพื่อไทยมาตอบเพื่อไทย วิธีซึ่งรัฐบาลได้เงินมาโดยดึงงบฯ ปี 2567 และ 2568 ก็เท่ากับไม่มีเงินก้อนใหม่มาเติมให้เศรษฐกิจโตขึ้น

ยกเว้นเงินกู้จาก ธ.ก.ส. ซึ่งมีแค่ 170,000 ล้านบาทเท่านั้นเอง

 

คําถามที่ยังไม่มีใครรู้คือ หากเงินกองใหม่จากการกู้ 5 แสนล้านจะทำให้เศรษฐกิจโตขึ้น 1% เงินกองใหม่จากการกู้ ธ.ก.ส.มาแจก 170,000 ล้าน จะทำให้เศรษฐกิจไทยโตขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ เพราะคิดบัญญัติไตรยางศ์ง่ายๆ คืออาจโตขึ้นแค่ 0.34% ซึ่งน้อยเหลือเกิน

ต่อให้ถือว่าเงินแจกที่ดึงจากงบฯ ปี 2568 ราว 150,000 ล้านเป็นเงินกองใหม่ ทั้งที่จริงๆ เป็นแค่การเกลี่ยงบประมาณ หากเอาเงินจากงบฯ ปี 2568 มารวมกับเงินกู้ ธ.ก.ส.ก็จะอยู่ที่ 320,000 ล้าน ซึ่งก็อาจทำให้เศรษฐกิจโตขึ้นแค่ 0.66% ซึ่งไม่มีใครตอบได้ว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากหรือแทบไม่มีผลเลย

เมื่อดึงงบฯ ปี 2568 มาแจกก็เท่ากับทำให้เม็ดเงินที่จะเหลือใช้จริงในปี 2568 ลดลง

คำถามคือวิธีที่รัฐบาลดึงเงินจากงบฯ ปี 2568 มาใช้ล่วงหน้าเพื่อแจกในปี 2567 อาจทำให้เศรษฐกิจไทยในปี 2568 เติบโตลดลงเพราะเม็ดเงินจากงบฯ น้อยลงไปด้วย

เว้นแต่ว่ารัฐบาลจะขยายเพดานเงินกู้ปี 2568 เพื่อดึงเงินใหม่มาโปะเงินเดิมที่ลดน้อยลง

 

น่าสังเกตว่าตลาดหุ้นไทยในวันที่คุณเศรษฐาแถลงแผนแจกเงินโตขึ้นแค่ 7 จุด หรือ 0.5%

ข่าวร้ายคือตัวเลขนี้สะท้อนว่านักลงทุนโดยภาพรวมไม่ได้ตื่นเต้นกับแผนแจกเงินของรัฐบาลมากอย่างที่คิด

และในที่สุดภาคเศรษฐกิจที่โตขึ้นอาจมีแค่ภาคอุปโภคบริโภคซึ่งผูกขาดโดยเจ้าสัวขายประจำเท่านั้นเอง

คุณเศรษฐามักตอบว่าขอให้ใจเย็นๆ ทุกครั้งที่สื่อถามหรือทวงนโยบายแทนประชาชน ไม่อย่างนั้นก็คือการอ้างว่ารัฐบาลนี้เพิ่งเข้ามา ต้องแก้ปัญหาที่รัฐบาลในอดีตทำไว้เละเทะหมด

แต่ข้ออ้างนี้ก็เป็นข้ออ้างแบบที่คุณประยุทธ์ จันทร์โอชา มักอ้าง นั่นหมายความว่าเป็นข้ออ้างที่ไม่มีความหมายกับประชาชนที่ไม่ใช่กองเชียร์เลย

ข้อดีที่เห็นได้ชัดจากแผนแจกเงินคือเป็นนโยบายแรกที่รัฐบาลเริ่มทำตามที่หาเสียงจริงๆ แต่ปัญหาคือรัฐบาลไม่ได้ทำนโยบายอย่างที่พรรคเพื่อไทยโฆษณา, ไม่ได้ทำตามระยะเวลาที่กำหนด และยิ่งกว่านั้นคือไม่ควรมีสังคมไหนมาตรฐานต่ำจนตื่นเต้นที่รัฐบาลทำตามนโยบายที่ตัวเองพูดเอง

ผลสำรวจความเห็นประชาชนทุกครั้งพบว่าคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกลคะแนนนำโด่งคุณเศรษฐา, คุณแพทองธาร และพรรคเพื่อไทย

มิหนำซ้ำการนำโด่งยิ่งนานก็ยิ่งทิ้งห่างจนกลายเป็นการนำขาดที่ฝ่ายค้านชนะฝ่ายรัฐบาลมากขึ้นเรื่อยๆ

จนในที่สุดจะเป็นหลักฐานของวิกฤตศรัทธาที่ประชาชนมีต่อรัฐบาล

 

สําหรับคนที่อาจบอกว่าคะแนนนิยมรัฐบาลดีจนไม่มีวันเปลี่ยนแปลง อย่าลืมว่าแม้แต่งานรำลึกการสังหารหมู่ 10 เมษายน 2553 ก็ยังเกิดปรากฏการณ์ที่คนเสื้อแดงโห่ไล่รองเลขาฯ พรรคเพื่อไทยจนมือไม้สั่นและต้องหยุดพูดมาแล้ว และไม่มีอะไรเป็นหลักประกันเลยว่าเรื่องนี้จะจบแค่นี้หรือจะลุกลามต่อไป

สำหรับคุณเศรษฐาที่ประกาศจะนำเพื่อไทยชนะก้าวไกลให้ได้ และสำหรับคุณทักษิณที่ต้องการให้คุณแพทองธารเป็นคนในครอบครัวรายที่ 4 ที่เป็นนายกฯ ศรัทธาประชาชนที่หดหายคือโจทย์ที่ต้องแก้ให้ได้ ไม่ใช่ด้วยการคิดง่ายๆ ว่าแจกเงินแล้วจะได้ศรัทธา เพราะรัฐบาลคุณประยุทธ์ก็แจกเงินเยอะแต่แพ้เลือกตั้งยับเยิน

ไม่มีอะไรที่สร้างความศรัทธาจากประชาชนได้ดีกว่าความซื่อสัตย์, ความตรงไปตรงมา, ความรักในประชาธิปไตย และการมีจุดยืนที่แสดงออกอย่างคงเส้นคงวาต่อประชาชนว่าทำเพื่อประชาชนจริงๆ

ไม่ใช่ทำแค่ระดับน้ำลายหวังหลอกคะแนนเสียงเพื่อตั้งรัฐบาล