แกะรอย ปฏิบัติการ ‘บิ๊กทิน’ จมเรือดำน้ำจีน กับคลื่นในทัพเรือ จับตา “บ้านปิยมิตร” กับทายาท วปอ.จูเนียร์

แม้บิ๊กทิน นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม จะหวานชื่นกับปลัดกลาโหม เพราะใจดี ยอมตั้งนายทหาร เตรียมทหาร 24 ให้ได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งในกลาโหม ถึงกว่า 30 คน ตามที่บิ๊กหนุ่ม พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกลาโหม ร้องขอ

แต่ความสัมพันธ์ระหว่างนายสุทิน กับบิ๊กดุง พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผบ.ทร. ดูจะมีอาการงอนกันเกิดขึ้น งอนหลายครั้งหลายกรณี จนกลายเป็นรอยร้าวที่จะลามไปสู่ระดับกองทัพเรือกับ รมว.กลาโหม และ ทร. กับรัฐบาล

โดยเฉพาะโครงการเรือดำน้ำจีน และเรือฟริเกตสมรรถนะสูง

เพราะโครงการเรือฟริเกตสมรรถนะสูง ลำใหม่ของ ทร.งบประมาณ 1.7 หมื่นล้าน ก็โดนคว่ำในชั้นคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ งบฯ 2567 จนทำให้งบฯ ผูกพันที่เตรียมไว้งวดแรก 1.7 พันล้านบาท ต้องตกไปโปะในก้อนงบประมาณกลาง โดยที่รัฐบาล หรือนายสุทินไม่ส่งสัญญาณเตือน ทร.ก่อนเลย ปล่อยให้ฝันหวาน เตรียมแผนจะไปดูเรือฟริเกตที่เยอรมนีไว้แล้ว

แต่นายสุทินก็ปลอบใจ ทร. ด้วยการให้ความหวังว่าจะเสนอในงบฯ ปี 2568 แทน

แต่ทว่า ในการประชุม ครม.เมื่อ 26 มีนาคมที่ผ่านมา ก็ยังไม่เข้า ครม. โดยที่นายเศรษฐา ทวีสิน ไม่เอาเข้าเป็นวาระจรของที่ประชุม ครม. แต่ให้เลื่อนไป 2 เมษายนนี้แทน พร้อมกับโครงการจัดซื้อเครื่องบินรบฝูงใหม่ 1.9 หมื่นล้านของ ทอ.

เพราะทั้ง 2 โครงการใหญ่ของกองทัพ งบประมาณ 2568 ที่มีมูลค่ามากกว่า 1,000 ล้านบาท ที่จะต้องนำเข้าพิจารณาในที่ประชุม ครม.

 

ที่น่าจับตามองว่า หาก 2 เมษายน ไม่นำเรื่องซื้อเรือฟริเกตเข้าครม. รอยร้าวระหว่างรัฐบาลกับ ทร. ก็จะเพิ่มมากขึ้นๆ

ทั้งนี้เพราะจะไปเชื่อมโยงกับโครงการเรือดำน้ำจีน ที่จู่ๆ นายสุทินก็เดินทางไปจีนแบบด่วนๆ เมื่อคืน 25 มีนาคม ก่อนที่จะเดินทางไปเกาหลีใต้ต่อ โดยมีนายจักรพงษ์ แสงมณี รมช.ต่างประเทศ ที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ มอบหมายไป พร้อมด้วย พล.ร.อ.อะดุง ร่วมคณะไปด้วย เพื่อหารือหาทางออกเรื่องเรือดำน้ำ หลังมีรายงานด่วนถึงนายสุทิน ถึงจุดยืนและท่าทีของจีน

แม้จะเป็นการหารือกับฝ่ายจีนอย่างไม่เป็นทางการ ในการแก้ไขปัญหาเรือดำน้ำจีน แต่ฝ่ายไทยก็มาในนามรัฐบาล ที่ต้องการยกเลิกต่อเรือดำน้ำจีน โดยฝ่ายจีนได้ยอมรับข้อเสนอของฝ่ายไทย โดยการเปลี่ยนเรือดำน้ำเป็นเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง OPV 2 ลำ หรือเรือฟริเกต 1 ลำ ทดแทน จากเงินที่ ทร.ได้ผ่อนจ่ายไป 6 ปีแล้วในราว 8 พันล้านบาท โดยไม่ต้องคืนเงิน แต่จะจ่ายเงินเพิ่มอีกในราคาใกล้เคียงกับเรือดำน้ำ แต่รายละเอียดยังต้องเจรจากันอีกต่อไป

แน่นอนว่า ทางออกเช่นนี้ ทาง ทร.ไม่แฮปปี้ เพราะ ทร.ต้องการเรือดำน้ำจีน ด้วยการเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์จีน CHD 620 แทนเครื่องยนต์ MTU 396 เยอรมนี ตามข้อตกลงเดิม เพราะได้ส่งคณะ ทร.ไปร่วมทดสอบสมรรถนะเครื่องยนต์จีนมาแล้ว และกลาโหมจีนก็รับรองมาตรฐานอุตสาหกรรมให้แล้ว

ก่อนหน้าที่นายสุทินจะไปจีน คณะกรรมการแก้ไขปัญหาเรือดำน้ำของกระทรวงกลาโหมที่มีบิ๊กอั๋น พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา ที่ปรึกษา รมว.กลาโหม เป็นประธาน ที่ได้ประชุมร่วมกันมาหลายครั้ง กำลังจะสรุปผล 2 ข้อ คือ

ข้อที่ 1 เดินหน้าต่อเรือดำน้ำจีนลำแรกให้สำเร็จ ด้วยการเปลี่ยนใช้เครื่องยนต์จีน CHD 620 แทนเครื่องยนต์ MTU 396 เยอรมนี โดยจะเสนอเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อขอขยายเวลาสัญญารัฐบาลต่อรัฐบาล ออกไปอีก 1,217 วัน

และให้กองทัพเรือแก้ไขข้อตกลงจากเครื่องยนต์ MTU 396 ของเยอรมนี เป็นเครื่องยนต์ของจีนได้เอง เพราะจากการถามความเห็นของหลายฝ่ายแล้ว การเปลี่ยนเครื่องยนต์ ไม่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนในสาระสำคัญ เพราะข้อตกลงเปิดช่องไว้แล้วว่าเป็นเครื่องยนต์รุ่นดังกล่าว หรือสมรรถนะเทียบเท่า ดังนั้น กองทัพเรือจึงดำเนินการแก้ไขเองได้

ข้อสรุปข้อที่ 2 คณะกรรมการได้เสนอให้ยกเลิกการต่อเรือดำน้ำจีน โดยให้รัฐบาลไทยเจรจาเพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยจีน และเจรจาในการขอเงินงวดที่ได้ส่งไปแล้วราว 8,000 ล้านบาทคืน แต่อาจไม่ใช่เรื่องง่าย หรืออาจเปลี่ยนเป็นเรือผิวน้ำประเภทอื่นของจีนแทน

อย่างไรก็ตาม ความเห็นของคณะกรรมการส่วนใหญ่คือให้เลือกข้อ 1 คือเดินหน้าต่อเรือดำน้ำจีนต่อไป

แต่อย่างไรก็ตาม จุดยืนของพรรคเพื่อไทยตั้งแต่เป็นฝ่ายค้านคือการต่อต้านเรือดำน้ำจีน โดยเฉพาะนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ก็อยู่ในคณะกรรมการของกระทรวงกลาโหมชุดนี้ด้วย จึงทำให้นายสุทินเกรงว่าหากต่อเรือดำน้ำจีนลำแรก ในอนาคตกองทัพเรือก็จะต่อลำที่ 2 และลำที่ 3 อีกทั้งเรือดำน้ำจีนเป็นเสมือนสัญลักษณ์มรดกของ คสช. เพราะบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เมื่อครั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้เป็นผู้ริเริ่มโครงการไว้จนสำเร็จมีการเซ็นสัญญาและต่อเรือไปแล้วครึ่งลำ จนมาเกิดปัญหาไม่มีเครื่องยนต์ เพราะเยอรมนีไม่ขายให้จีน จนกลายเป็นปัญหาคาราคาซังมาหลายปี

แต่ทว่า ก่อนที่คณะกรรมการกลาโหมจะสรุปผลอย่างเป็นทางการ นายสุทินก็เดินหน้าเจรจายกเลิกเรือดำน้ำจีนเสียก่อน และบินไปเจรจาด้วยตนเอง

มีรายงานว่า แม้ในการพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการที่มีตัวแทนจากฝ่ายกลาโหมจีน และบริษัทต่อเรือดำน้ำจีนจะยอมก็ตาม แต่รู้กันดีว่า บริษัท CSOC ไม่ค่อยเต็มใจนักกับการยกเลิกต่อเรือดำน้ำจีน แล้วเปลี่ยนเป็นเรือฟริเกต หรือ OPV เพราะเขาได้ลงทุนต่อเรือไปครึ่งลำแล้ว

ดังนั้น แม้จีนจะตกลงในหลักการแล้ว แต่ต้องดูว่า ในทางปฏิบัติจะทำได้จริงหรือไม่ ในเมื่อ CSOC ไม่เต็มใจ และที่ผ่านมา ก็ต่อสู้จน ทร.ไทยยอมเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์จีน แต่มาติดขัดที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย และนายสุทิน ไม่เห็นด้วย

ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้แค่ 2 สัปดาห์ นายสุทินเคยให้สัมภาษณ์สื่อว่า คาดว่ากองทัพเรือจะได้เรือดำน้ำแน่ แต่จะได้ต่อเรือดำน้ำจีน หรืออาจจะเป็นเรือดำน้ำชาติอื่น ให้รอการสรุปผลของคณะกรรมการกลาโหม

แต่ในที่สุดผลก็ออกมาแบบที่กองทัพเรือตั้งตัวแทบไม่ติดเพราะได้เตรียมแผนรองรับการเดินหน้าต่อเรือดำน้ำจีนลำแรก และวางตัวบุคคลที่จะมาดูแลรับผิดชอบไว้แล้ว

 

ดังนั้น ท่าทีของ พล.ร.อ.อะดุง ในระยะนี้ จึงเป็นที่จับตามองเพราะออกอาการอยู่ไม่น้อย แต่ก็เป็นที่รู้กันว่า แม้จีนจะยินยอมในการให้เปลี่ยนเรือดำน้ำเป็นเรือผิวน้ำแล้วก็ตาม แต่ในรายละเอียดไม่ใช่เรื่องง่าย

เพราะปัญหาเรื่องเรือดำน้ำนี้ เมื่อครั้งที่บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เคยได้เจรจากับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เมื่อครั้งที่มาเยือนไทยในช่วงการประชุมเอเปคแล้ว แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ จนคาราคาซังมาถึงรัฐบาลพรรคเพื่อไทย

ท่าทีของนายกรัฐมนตรี และนายสุทิน กับกองทัพเรือในยุค พล.ร.อ.อะดุง กำลังถูกจับตามองว่า จะเชื่อมโยงไปถึงการแต่งตั้ง ผบ.ทร.คนใหม่ ในเดือนสิงหาคม-กันยายนนี้หรือไม่

ท่ามกลางกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี ที่อาจมีการเปลี่ยนตัว รมว.กลาโหม ที่ ทร.หวังจะมีความเปลี่ยนแปลง หากบิ๊กเล็ก พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขานุการกลาโหม มาเป็น รมว.กลาโหมคนใหม่แทน แต่ก็เชื่อกันว่าก็ต้องยึดตามนโยบายของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะหากนายเศรษฐามาควบ รมว.กลาโหมเอง

พร้อมกันนี้ หากนายสุทินแก้ปัญหาเรื่องเรือดำน้ำได้สำเร็จก็จะถือเป็นผลงานที่เข้าตานายกรัฐมนตรี และอาจรวมถึงนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และได้ไฟเขียวให้นั่งเก้าอี้สนามไชย 1 ต่อไปก็เป็นได้

คาดกันว่า หลังกลับจากการไปเยือนเกาหลีใต้อย่างเป็นทางการแล้ว นายสุทินจะเข้าพบนายทักษิณ เพราะวันที่นายทักษิณไปเยี่ยมพรรคเพื่อไทยนั้น นายสุทินไม่ได้อยู่ด้วย เพราะต้องเดินทางไปจีนอย่างเร่งด่วนนั่นเอง

ขณะที่บ้านจันทร์ส่องหล้า กำลังถูกจับตามอง เพราะอำนาจบารมีและบทบาทของนายทักษิณ หลังเดินทางกลับไทยและจับมือกับขั้วอนุรักษนิยมเพื่อสู้ศึกกับฝ่ายหัวก้าวหน้า

บ้านอีกหลังหนึ่งย่านมีนบุรีของ พล.อ.ประวิตร ก็กำลังถูกจับตามอง หลังมีกำลังกระแสข่าวสะพัดว่ากลายเป็นเซฟเฮาส์กองบัญชาการใหม่ของ พล.อ.ประวิตร แทนบ้านป่ารอยต่อฯ

บ้านปิยมิตร เป็นบ้านพักที่ พล.อ.ประวิตรใช้สำหรับพักผ่อนและนอนที่นี่ ส่วนบ้านป่ารอยต่อฯ จะเป็นเสมือนที่ทำงานที่รับแขก ปกติแล้ว พล.อ.ประวิตรจะไม่ใช้บ้านปิยมิตรรับแขก ยกเว้นงานเลี้ยงปีใหม่ที่เคยจัดมาทุกปีในช่วงที่พี่น้อง 3 ป.เรืองอำนาจ

แต่ที่ผ่านมากลับมีข่าวว่า พล.อ.ประวิตรเปิดบ้านหลังนี้ต้อนรับ ส.ส.ต่างพรรค เพื่อหารือในเรื่องการย้ายพรรค ท่ามกลางกระแสข่าวว่า พล.อ.ประวิตรยังคงมีความหวังที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะหากไปใช้สถานที่ที่บ้านป่ารอยต่อฯ ข่าวจะรั่ว

แต่ที่นี่ถือเป็นสถานที่รับคนรู้แค่ไม่กี่คน ยกเว้นฝ่ายนักการเมือง หรือคนที่มาพบเองจะทำให้ข่าวรั่ว

พล.อ.ประวิตรเองยังไม่มีวี่แววที่จะวางมือทางการเมือง ตรงกันข้ามได้มีการหาทายาทมาดูแลพรรคพลังประชารัฐต่อ โดยพยายามจะผลักดันบิ๊กป๊อด พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ น้องชายให้ไปต่อในทางการเมืองให้ได้

รวมถึงการวางตัวให้ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ อดีตปลัดกลาโหม แกนนำเตรียมทหารรุ่น 20 ลูกรัก ทำงานการเมืองต่อ เพราะก็มาช่วยดูแลทั้งมูลนิธิป่ารอยต่อฯ และพรรคพลังประชารัฐ

และเตรียมวางตัวนายทหารคนรุ่นใหม่ที่ใกล้ชิด ให้ศึกษางานการเมืองไว้หลายคน ในจำนวนนี้ “เสธ.เช” พ.อ.สุรเชษฐ์ จงอักษร นายทหารคนสนิท ก็น่าจับตามอง เพราะถูกส่งตัวมาเรียนหลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรสำหรับผู้บริหารแห่งอนาคตรุ่น 1 (วปอ.บอ.) รุ่นเดียวกับอุ๊งอิ๊ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทยและแคนดิเดตนายกฯ ลูกสาวคนเล็กของนายทักษิณด้วย

เพราะ 50 นายทหารที่ได้เรียนหลักสูตรนี้ถือว่าไม่ธรรมดา เพราะตามนโยบายของบิ๊กอ๊อบ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด คือจะคัดนายทหารคนรุ่นใหม่ และตัวแทนจากแต่ละเหล่าทัพมาเรียน เพื่อที่จะสร้างสัมพันธ์กับข้าราชการประจำในระดับเดียวกันที่จะเติบโตในอนาคต รวมถึงนักการเมืองที่มาเรียน

โดยเฉพาะ น.ส.แพทองธาร ที่ถูกมองว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีในอนาคตอันใกล้

พ.อ.สุรเชษฐ์ ถือเป็นนายทหารข้างกายที่อยู่กับ พล.อ.ประวิตรมายาวนาน รับหน้าที่สำคัญในการดูแล พล.อ.ประวิตรอย่างใกล้ชิดไม่ให้ล้ม โดยให้ พล.อ.ประวิตรเกาะไหล่เวลาเดินขึ้นลงบันได จนบางครั้งก็ต้องคอยประคองเอวเลยทีเดียว

พ.อ.สุรเชษฐ์ เป็นเตรียมทหารรุ่น 42 ประจำสำนักปลัดกระทรวงกลาโหม ที่มี พล.อ.สนิธชนก เป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรง ซึ่ง พล.อ.สนิธชนก ก็ถือว่าเป็นสายตรงของ พล.อ.ประวิตร สายตรงบ้านป่ารอยต่อฯ ที่รับหน้าที่ในการดูแลน้องๆ ในสาย 3 ป. โดยเฉพาะสายของ พล.อ.ประวิตร ที่อยู่ในกองทัพต่อ

ด้วยความเป็นลูกรักของ พล.อ.ประวิตรมายาวนานจึงทำให้ พ.อ.สุรเชษฐ์ ก็เป็นนายทหารที่เป็นที่รู้จัก และเมื่อมาเรียนหลักสูตรนี้ มาเป็นแกนนำในกลุ่มหยก โชว์ความใจสปอร์ต โดยมีการนัดเพื่อนฝูงร่วมหลักสูตรทั้ง 150 คน พบปะครั้งแรกที่ร้านอาหารของ เสธ.เช ย่านสนามเป้า เพื่อทำความรู้จักกันให้มากขึ้นก่อนที่จะเปิดเรียนในเดือนเมษายนนี้หลังไปรายงานตัวและปฐมนิเทศกันเมื่อ 22 มีนาคมที่ผ่านมา

โดย เสธ.เช ซึมซับความเป็นพี่ใหญ่มาจาก พล.อ.ประวิตร เป็นคนมีอัธยาศัยดูแลเพื่อนและลูกน้อง จึงเป็นเจ้าภาพ ค่ำ 29 มีนาคม ที่ถือเป็นการเปิดตัว เสธ.เช มือขวาบิ๊กป้อม กับเพื่อนร่วมรุ่นที่มีทั้งทหาร ตำรวจ ข้าราชการ นักธุรกิจ ผู้บริหารองค์กร และนักการเมือง รวมทั้งคนนามสกุลดัง ลูกหลานของนักการเมืองและรัฐมนตรีหลายคน

เพราะนายทหารสายบ้านป่ารอยต่อฯ ลูกรัก พล.อ.ประวิตร ก็กำลังๆ ค่อยๆ เติบโต ขึ้นมาในกองทัพ ทดแทนนายทหารรุ่นพี่ที่เกษียณ กลายเป็นทหารเก่า โดยมี พล.อ.สนิธชนก เป็นพี่ใหญ่ที่คอยดูแลน้องๆ รวมถึงเพื่อนๆ อย่างเต็มที่ ด้วยบารมีที่เป็นปลัดกระทรวงกลาโหมมาเป็นปีที่ 2 และเป็นต่อไปเป็นที่ 3 จนเกษียณกันยายน 2568

แม้จะเปลี่ยนรัฐบาลมาเป็นรัฐบาลพรรคเพื่อไทย และเปลี่ยน รมว.กลาโหมมาเป็นนายสุทิน แต่ก็ไม่มีผลต่อขั้วอำนาจในกองทัพ หรือตัวผู้บัญชาการเหล่าทัพ เพราะเป็นรัฐบาลผสมข้ามขั้ว ที่มี “ดีล” ในการดูแลกองทัพ ไม่แทรกแซง ไม่ก้าวก่าย ไม่ล้วงลูก และไม่ล้างบางกองทัพ อยู่ต่อไปนั่นเอง