ก้าว ‘ไว’ vs ก้าว ‘ใหม่’

ศึกซักฟอกรัฐบาลเพื่อไทยครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของ ส.ว.ชุดลากตั้ง เป็นไปตามคาด ว่าเนื้อหาการอภิปรายไม่ได้มีอะไรใหม่ ไม่ได้เปิดประเด็นน่าสนใจให้คนตามต่อได้เลย

แถมไปขุดเรื่องเก่าอย่างเรื่องเกาะกูด ก็ให้น้ำหนักกับ “ชาตินิยม” สูง ไม่ก้าวหน้า จนคนดูเบื่อ

ลืมไปแล้วหรือ องคาพยพหนึ่งของรัฐบาลเพื่อไทยคือ “รวมไทยสร้างชาติ” คนอย่าง พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน เบอร์ท็อปอนุรักษนิยม เขาไม่ปล่อยเรื่องพวกนี้ง่ายๆ หรอก

มากกว่านั้นที่ด่าๆ รัฐบาลเพื่อไทยเรื่องเศรษฐกิจ ปากท้อง ศักยภาพการแข่งขัน ความเหลื่อมล้ำทางสังคม การศึกษา ตลอด 2 วัน หารู้ไม่ว่ามันเข้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้ให้กำเนิด ส.ว.เต็มๆ เพราะรัฐบาลเพื่อไทยเพิ่งเข้ามาบริหารประเทศได้ 6 เดือน แต่ พล.อ.ประยุทธ์อยู่มา 10 ปี มิใช่หรือ?

เอาเป็นว่า นายเศรษฐา ทวีสิน แทบไม่บาดเจ็บอะไรเลย ในศึกซักฟอกของ ส.ว. แถมยังลุกขึ้นโต้ตอบด้วยท่าทีมั่นใจ

 

ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้คือ รัฐบาลเพื่อไทยวันนี้ก็อ่อนแรงอย่างหนัก กับภารกิจฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศ จากโครงสร้างเดิมที่ถูกแช่แข็งไว้ใต้รัฐบาลทหารตลอดเกือบ 1 ทศวรรษ

เป็นภารกิจที่ยากราวกับเข็นครกขึ้นภูเขา

ยิ่งความเชื่อมั่นในฝีมือเพื่อไทย ถดถอยอย่างหนักจากการพลิกขั้วตั้งรัฐบาล ประสานกับวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำ นโยบายเรือธงหลายเรื่องของเพื่อไทยติดขัด

แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท จนถึงวันนี้มีเพียงคำยืนยันว่าจะแจกในช่วงปลายปีนี้ หลังจากผลัดวันมาแล้วหลายครั้ง ไม่นับว่าวันนี้ยังไม่มีใครตอบชัดๆ ว่าจะเอาเงินจากไหนมาแจก ยิ่งทำให้ความเชื่อมั่น บอบบาง-สั่นคลอนลงเรื่อยๆ

ลามมากระทบรัฐบาลและนายเศรษฐา จนถึงวันนี้ไม่ว่าจะทำอะไรคนก็วิจารณ์

ไปต่างประเทศชวนคนมาลงทุนก็ถูกตำหนิว่าไม่ค่อยอยู่เมืองไทย ขนาดไปดูฟุตบอลไทย-เกาหลี ยังถูกอัดคลิปวิจารณ์ว่าเป็นวีไอพีรบกวนผู้ชมคนอื่น ทั้งที่เป็นเรื่องที่ดี นานๆ จะเห็นผู้นำประเทศไปให้กำลังใจนักกีฬา

ยิ่งเรื่องการเมืองยิ่งหนัก

ยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ก็ยังไร้อนาคต ยังไม่สามารถตอบได้แม้แต่คำถามง่ายๆ ว่าจะทำประชามติเมื่อไหร่ ยังถูกวิจารณ์รายวันจากนักกิจกรรมการเมืองที่วันนี้เข้าคุกกันระนาว ไร้วี่แววนิรโทษกรรม

ทั้งหมดสะท้อนว่าไม่ใช่ประเทศกำลังมี “วิกฤต” แม้แต่ในรัฐบาลเพื่อไทย และพรรคเพื่อไทยเอง ก็มี “วิกฤต”

 

ปรากฏการณ์ “ทักษิณ” ก้าว “ไว” โดยออกเดินสาย จึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

หลังพักโทษกลับเข้าบ้านจันทร์ส่องหล้าไม่นาน ก็เดินทางไปเชียงใหม่ด้วยเหตุผลไปพบแพทย์ทางเลือก และไหว้บรรพบุรุษ

แต่กิจกรรมที่เกิดขึ้นดูเป็นการพยายาม “ฟื้นคืน” กระแสความนิยมอดีตนายกฯ คนดังมากกว่า

ตอกย้ำด้วยการเดินทางไป “สีลม” พื้นที่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นจุดหลัก “ขับไล่” นายทักษิณ เป็นการเดินทางไปส่วนตัวไม่มีการแจ้งหมายข่าวกับสื่อ แต่ก็มีภาพการลงพื้นที่ส่งถึงสื่อมวลชนแทบจะทันที

การเดินทางเข้าพรรคเพื่อไทยของนายทักษิณน่าสนใจ

การเดินทางเข้าพรรคเพื่อไทยครั้งแรก มีคุณูปการอย่างสูงต่อคนการเมืองพรรคเพื่อไทย ในแง่ของการสร้างความฮึกเหิมบรรดา ส.ส.บ้านใหญ่ต่างๆ

เห็นได้จาก มีรัฐมนตรีเกือบสิบคนไปรอต้อนรับ มี ส.ส.เพื่อไทยอีกหลายสิบคนไปรอพบปะ

เกิดภาพความคึกคักขึ้น ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทยทันที

 

ต้องยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า การเมืองแบบ “เพื่อไทย” ถูก “ดิสรัปต์” อย่างหนักจากการเมืองแบบ “ก้าวไกล” ผลการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาคือข้อเท็จจริงที่ยืนยัน

แกนนำเพื่อไทยรู้มานานแล้วว่า การเมืองของเพื่อไทยจะถูกก้าวไกล “ดิสรัปต์” เข้ามาแทนที่

และหากใครฟังนายทักษิณ ในฐานะ “โทนี่ วูดซัม” พูดมาโดยตลอดในรายการของกลุ่มแคร์ จะรู้ว่า ทักษิณมองว่าปัญหาของประเทศคือเรื่องเศรษฐกิจ และการทำให้คนมีเงินในกระเป๋า

ที่คนออกมาเรียกร้องทางการเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นเพราะรัฐบาลทหารบริหารเศรษฐกิจไม่ดี การเดินเกมการเมืองของเพื่อไทยเพื่อให้ได้เป็นรัฐบาล จึงคาดการณ์ได้

เมื่อมีโอกาสได้บริหารประเทศ สร้างเงินในกระเป่าให้ประชาชนสำเร็จ คนก็จะ “ลด” ไปจนถึงเลิกเรียกร้องทางการเมืองไปเอง

คนรวยขึ้น “ก้าวไกล” ก็จะหมดความจำเป็น เพราะคนไม่เรียกร้องการเมือง

นั่นคือยุทธศาสตร์บ้านจันทร์ส่องหล้า

 

ยิ่งวันนี้สถานการณ์ของพรรคก้าวไกลก็อยู่ในระดับ “วิกฤต” เจอตำบลกระสุนตกจากทุกทิศทุกทาง ไม่ใช่แค่เจอนิติสงคราม แต่กำลังถูกล้อมปราบทางกฎหมาย

ถามใครก็ตอบตรงกันว่าถูกยุบพรรคแน่นอน ต่างกันแค่จะเร็วหรือช้าแค่นั้น

ถามว่าฝ่ายอนุรักษนิยมรู้ไหมว่าการยุบพรรค ไม่ได้แก้ปัญหาทางการเมือง ซ้ำยิ่งไปเพิ่มคะแนนเสียงให้กับพรรคใหม่ที่จะเกิดขึ้น ดังที่เกิดขึ้นกับไทยรักไทย พลังประชาชน อนาคตใหม่

แต่จะทำยังไงได้ เพราะกฎหมายคือเครื่องมือที่ฝ่ายอนุรักษนิยมไทยมี ถูกใช้จัดการกับศัตรูทางการเมืองมานาน จนใครๆ ก็เดาทางถูกหมด

 

แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ “ฝ่ายก้าวหน้า” ต้องเจอกับการจัดการทางการเมืองอย่างการยุบพรรค แต่เมื่อสถานการณ์ใกล้ “ดูเหมือน” จะเกิดขึ้นจริง ก็ก่อเกิดอาการว้าวุ่นไม่น้อย โดยเฉพาะกับ ส.ส.สมัยแรก

ในความบังเอิญ ก็เป็นช่วงเวลาสำคัญ การปรากฏตัวของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า พูดคุยกับ ส.ส.ของพรรคก้าวไกล เพื่อให้กำลังใจ และเตรียมพร้อมทุก SCENARIO ที่จะเกิดขึ้น

จนวันนี้มีข่าวการเตรียมพรรคไว้ในชื่อใหม่ว่า “ก้าวใหม่” ซึ่งก็น่าสนใจว่า นับตั้งแต่มีข่าวก็ยังไม่มีการปฏิเสธจากคนในพรรค

ต้องจับตาดูว่า “ก้าวใหม่” จะเป็นเรือลำใหม่ที่รองรับ “พลังของการต้องการการเปลี่ยนแปลง” หากเกิดกรณียุบพรรคได้หรือไม่

 

วันนี้ 2 ตัวเล่นสำคัญที่สุดในการเมืองไทยขณะนี้คือ พรรคเพื่อไทยและนายทักษิณ ที่ถูกมองว่าเป็นตัวแทนของพลัง “อนุรักษนิยมใหม่” กับพรรคก้าวไกลและคณะก้าวหน้า ที่ถูกมองว่าเป็นพลังใหม่ที่ต้องการการเปลี่ยนแปลง

แม้พลังอนุรักษนิยมจารีตยังอยู่ แต่ก็ถูกจำกัดพื้นที่ทางการเมืองไปมากด้วยการเลือกตั้ง ผลักให้พรรคเพื่อไทยและนายทักษิณ เป็นเครื่องมือใหม่ในการใช้ต่อสู้กับ “ก้าวไกล”

การเดินเกม ก้าว “ไว” ในทางการเมืองของนายทักษิณ จึงเป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้ แม้จะเจอแรงเสียดทานจากศัตรูเก่ายุคเสื้อเหลือง แต่วันนี้ก็เปลี่ยนไป

ดูจากการอภิปรายของบรรดา ส.ว.ตัวตึง คู่อรินายทักษิณ เสียงเบาลงไปเยอะ พูดอะไรก็ไม่มีคนฟัง

กับพรรคก้าวไกลที่ดูเหมือนถดถอย แต่น่าสนใจจากผลสำรวจนิด้าโพลล่าสุดยังพบว่าประชาชนส่วนใหญ่ให้การสนับสนุน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล ล้นหลาม ถึง 42.75%

ขณะที่นายเศรษฐา ทวีสิน ได้ 17% คะแนนลดลง เช่นเดียวกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่ได้ 6% สองคนรวมกันก็ยังห่างมากกับนายพิธา

หากยังจำผลสำรวจนิด้าโพลก่อนเลือกตั้งปี 2566 หรือราว 1 ปีก่อน ที่ น.ส.แพทองธาร คะแนนนำถึง 38% และนายพิธา ได้เพียงแค่ 15%

ขณะที่คะแนนนิยมของพรรคก้าวไกล ก็พุ่งขึ้นถึง 48.4% เพิ่มขึ้น 17.4% ด้านเพื่อไทย ได้ 22% ลดลง 26%

น่าสนใจว่า เวลาเพียงปีเศษทำให้คะแนนนิยมทางการเมืองคนที่ประชาชนอยากให้เป็นนายกฯ “เปลี่ยนไปมากขนาดนี้”

และน่าสนใจยิ่งกว่า เพราะวันนี้เพื่อไทยเป็นพรรครัฐบาล มีทรัพยากร อำนาจ ในการดำเนินการทางการเมือง แต่พรรคก้าวไกลเป็นเพียงฝ่ายค้าน มีเพียงหน้าที่ตรวจสอบ ข้อจำกัดมากมาย นายพิธาก็ยังไม่เคยเป็นนายกฯ แถมโดนขู่ฟ่อๆ จะตัดอนาคตการเมือง

ตามปกติพรรครัฐบาลได้เปรียบ ก็ควรมีคะแนนนิยมนำ ทำไมมันกลับตาลปัตร?

 

จะเห็นได้ว่าการเมืองวันนี้ ขยัน ตั้งใจดี เอาไม่อยู่ ต้องสามารถที่จะครองความคิดผู้คนให้ได้ด้วย

การครองความคิดจิตใจคน ทำไม่ได้ผ่านการบังคับ แค่คือการทำให้ผู้คนเห็นพ้องอย่างสมัครใจไปกับวาระทางการเมืองต่างๆ ให้ได้

และทักษิณเคยครองความคิดจิตใจคนส่วนใหญ่สำเร็จ สร้างวาระทางการเมืองที่คนส่วนใหญ่เห็นพ้องต่องกัน การปรากฏของนายทักษิณที่ชัดเจนมากขึ้นในทางการเมืองวันนี้ จึงมองเป็นอื่นไม่ได้ นอกจากเป็นการนับหนึ่งการ “รุก” ในทางการเมือง ช่วงชิงพื้นที่ทางการเมืองกลับคืนให้ “เพื่อไทย”

เป้าหมายระยะสั้น คือ การเลือกตั้งท้องถิ่น อย่างนายก อบจ. ระยะยาวคือเลือกตั้งใหญ่ โดยมีคู่แข่งสำคัญก็คือ พรรคก้าวไกล

ด้วยสไตล์เดินเกมไวฉบับ “ทักษิณ” การเมืองจากนี้ “เข้มข้นขึ้น” แน่นอน โดยเฉพาะเมื่อต้องขับเคี่ยวกับพรรคก้าวไกล ที่อีกไม่กี่วันอาจจะต้องกลายเป็นพรรค “ก้าวใหม่” เพื่อเดินหน้าสู้ทางการเมืองอย่างเข้มข้นต่อไป