สายเลือดผู้อพยพ | เรื่องสั้น : นรพัลลภ ประณุทนรพาล

เรื่องสั้น | นรพัลลภ ประณุทนรพาล

สายเลือดผู้อพยพ

 

หลังมื้อเที่ยงเราดูทีวีกันไปเรื่อยๆ จนเจอข่าวสงครามที่มีผู้วิเคราะห์ว่าอาจลุกลามเป็นสงครามโลก ลูกถามว่าทำไมภาพข่าวเหมือนเกม ผมตอบว่าเพราะคนสร้างเกมเลียนแบบจากของจริง

“แล้วนั่นพวกเขาจะไปไหนครับ”

ลูกชี้ไปยังผู้อพยพที่เดินเป็นแถว

“พ่อก็ไม่แน่ใจ”

“ทำไมไม่ช่วยกันต่อสู้ยึดเมืองคืนครับพ่อ”

“มันไม่เหมือนเกมที่ลูกเล่นนะ นี่เป็นสงครามจริงๆ”

“ผมช่วยเองครับ”

ลูกชูมือวิ่งเข้าห้องส่วนตัว

 

ในทีวีนักข่าวกำลังสัมภาษณ์ชายหนุ่ม ผู้ได้รับคำสั่งให้เข้าร่วมสงครามที่ยังหาจุดสิ้นสุดไม่ได้ อาวุธยังคงทำงาน เมืองยังคงพินาศ และผู้อพยพเพิ่มขึ้นทุกวัน

ผู้หญิงอุ้มเด็กเดินไปข้างหน้า คนส่วนใหญ่มีกระเป๋าใบเดียว บางคนในมือมีเพียงมือใครอีกคนที่จูงกันไป และหลายคนคงต้องฝืนยอมรับความจริงว่ารถ บ้าน งาน อนาคต กลายเป็นสิ่งที่เคยมี

โลกไม่มีภาพความรุนแรงระดับนี้มานานแล้ว สงครามไม่ควรเกิดขึ้นในยุคที่การท่องเที่ยวเป็นตัวเชื่อมโลก เพราะแทบไม่มีจุดไหนที่มนุษย์ไปเยือนพร้อมรอยยิ้มไม่ได้

และข่าวยังพาผมย้อนไปสู่อารมณ์ร้าวรานลึกๆ

ผมไม่ได้ฝังความร้าวรานไว้ในใจ มันแค่ยังอยู่ แต่ไม่ใช่เพื่อทรมานตน ไม่ใช่เพื่อตอกย้ำ แค่อยากเก็บมันไว้ เพื่อให้หนึ่งชีวิตของผมครบถ้วนสมบูรณ์

อารมณ์ร้าวรานที่รับรู้ผ่านคำบอกเล่าของพ่อตั้งแต่ผมยังเด็ก พ่อที่ปวดร้าวเมื่อเห็นข่าวการอพยพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้อพยพถูกปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรม

‘ไม่มีใครอยากอพยพ ไม่มีใครอยากถูกเรียกว่าผู้อพยพ’

นั่นคือคำพูดปิดท้ายของพ่อทุกครั้งที่เราคุยกัน

‘ความผูกพันอันลึกซึ้ง’

นี่คือคำเริ่มต้น พ่อใช้คำนี้แม้การอพยพของบรรพบุรุษจะผ่านมาแล้วหลายรุ่น แต่ความลึกซึ้งกับชาติพันธุ์ของพ่อไม่เคยเปลี่ยน

แต่ละช่วงวัย ทุกครั้งผมจะถามพ่อ

‘ทำไมบรรพบุรุษของเราไม่อยู่ที่เดิม’

คำถามซ้ำๆ แต่พ่อมีคำตอบใหม่เสมอ และทุกคำตอบมาจากความจริง ที่ส่งต่อกันมาจนถึงพ่อ จนกระทั่งถึงผม

‘เพราะสงครามนั่นไงลูก

สงครามที่เราไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

ไม่มีส่วนได้โดยตรง แต่ต้องรับส่วนเสียโดยตรง

เราอยากมีชีวิตปกติตามความสามารถของเรา

เราไม่เคยอยากได้สิ่งใดที่มาจากสงคราม

ไม่มีใครอยากแย่งชิงความสุขของใคร

เราไม่ต้องการอยู่ฝ่ายใด ทั้งแพ้และชนะ

ที่สำคัญคือเราไม่ได้อยากไปไหน

แต่สงคราม ทำให้บรรพบุรุษของเราไม่อาจอยู่ที่เดิม’

 

ข่าวจบแล้ว แต่ภาพยังตกค้างในความคิด ผมเดินไปหาพ่อในรูปถ่ายที่วางบนชั้นหนังสือ และเมื่อเราสบตากัน ผมก็ได้ยินอีกคำตอบ

‘เพราะความกลัวนั่นไงเล่า

เราหวาดกลัวเสียงปืน เสียงระเบิด

มันทำให้เกิดเสียงร้องไห้และเสียงหวีด ที่ดังรับกันเป็นทอดๆ

จนบางครั้งเราไม่รู้เลยว่าเสียงที่เพิ่งได้ยิน คือเสียงจริงหรือหูแว่ว

เราพยายามคิด ว่าที่แห่งไหนจะเงียบสงบพอให้เราได้สวดภาวนา

เราอยากสวดอ้อนวอน เพื่อให้เสียงปืนเสียงระเบิดหายไป

เพื่อที่เสียงร้องไห้และเสียงหวีดจะได้หายไป

แต่รู้ไหม อะไรที่ทำให้เสียงร้องไห้และเสียงหวีดหายไป

มันคือระเบิดลูกถัดไปนั่นเอง’

 

มีเสียงจากห้องลูก ระดับเสียงเบาเหมือนกำลังปฏิบัติภารกิจลับ

(((เร็ว ข้างบน เงียบ อย่าใช้ปืน เคลียร์ ไป ถอย รอ ลุย แยก บุก หลบ ทางขวา เคลียร์ ระวังซ้าย หยุด ไป)))

วันหยุดผมปล่อยให้ลูกทำสิ่งที่อยากทำ เหมือนที่พ่อเคยปฏิบัติกับลูกๆ และผมเป็นลูกที่ชอบใช้วันหยุดคุยกับพ่อเรื่องการอพยพของบรรพบุรุษ เพื่อฟังคำตอบใหม่ๆ

‘เพราะความโกรธนั่นไงลูก

แต่สิ่งที่เราทำได้ คือเก็บอารมณ์โกรธไว้ในความทรงจำ ที่ก็แค่เพื่อทรงจำ

เราไม่อาจทำสิ่งใดให้ความโกรธหายไปได้ เว้นแต่จะกำหนดใจลืมให้ได้เอง

แต่ทุกครั้งที่นึกถึง ไม่ใช่การรื้อฟื้น

เราแค่รำลึก

ทุกอย่างผ่านไปแล้ว

เราออกมาจากที่นั่นแล้ว

สงครามจบไปนานแล้ว

แต่มันคือความคิดถึง ที่เรายังอยากคิดถึง’

 

ในห้องลูกเงียบผิดปกติ เป็นไปได้ว่าภารกิจจบแล้ว แต่ถ้าจบลูกน่าจะออกมา อยากเดินไปดู แต่ผมเลือกรอให้ลูกออกมาเอง

กลับไปนั่งหน้าทีวี กดรีโมตหาข่าวสงครามจากจานดาวเทียม จนเจอในช่องภาษาที่ผมไม่เข้าใจ พอกดต่อก็ไม่พบจากช่องอื่น คงยังไม่ถึงเวลาของรายการข่าว

แต่สงครามไม่เกี่ยวกับรายการข่าว ในพื้นที่สงครามไม่มีช่วงเวลา หากการเจรจายังไม่เริ่ม เสียงปืนจะยังคงดัง และผู้อพยพยังเดินไปข้างหน้า ที่คงเป็นเพียงข้างหน้า

ผมกดกลับไปหาช่องภาษาที่ไม่เข้าใจ แม้ไม่เข้าใจภาษาพูดแต่เข้าใจภาษาภาพ ถ้าตอนนี้พ่อนั่งดูข่าวด้วย ผมคงถามพ่อด้วยคำถามเดิม อยากรู้ว่าพ่อจะมีคำตอบใหม่ๆ หรือจะตอบเหมือนที่เคย

‘เพราะความปลอดภัยนั่นไงเล่า

เมื่อที่ที่เราอยู่มีภัย เราจึงต้องแสวงหาพื้นที่ปลอดภัย

ทุกคนคิดตรงกันว่าเราไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง

เราไม่ได้ทำเพื่อวันนี้

เด็กๆ ของเราไม่ได้เกิดผิดที่

ไม่มีใครเกิดผิดห้วงเวลา

ทุกอย่างเป็นไปตามปกติของชีวิตที่ดีงาม ซึ่งเราตั้งใจทำให้เป็น

แต่อ้อมอกของพ่อแม่ไม่ปลอดภัยเสียแล้ว

และเมื่อการดำเนินไปอย่างธรรมดาสามัญของเรา ถูกบังคับให้หยุด

เราจะนิ่งเฉยยอมให้เด็กๆ ต้องตาย ในวัยที่ควรเติบโตได้อย่างไร

เราจะไม่ออกแสวงหาพื้นที่ปลอดภัยได้อย่างไร’

 

มีเสียงดังจากห้องลูก ก่อนเจ้าตัวจะโผล่หน้าออกมา

“พ่อครับ ไม่สำเร็จ ขออีกทีนะครับ”

ผมชูนิ้วโป้งให้

ข่าวจบแล้ว ผมกดรีโมตจนเจอช่องที่กำลังรายงานข่าวด่วน

[หลายชาติเริ่มส่งสัญญาณเรื่องการเข้าไปช่วยฝ่ายที่ถูกรุกราน]

สงครามกับรุกราน แต่ละช่องใช้คำต่างกัน การเลือกใช้คงอยู่ที่มุมมอง และความคิดเห็นคือความหลากหลายอย่างแท้จริง จนอาจไม่รู้ว่า ณ เวลานี้ คำที่ถูกต้องคืออะไร

หรือไม่จำเป็นต้องตัดสินในตอนนี้ ทุกอย่างจะถูกบันทึกไว้ และคำตอบอยู่ในอนาคต

ผมจำได้ คำตอบหนึ่งของพ่อ มีคำว่าอนาคตด้วย

‘เพราะอนาคตนั่นไงลูก

เราอยู่กลางสงครามที่ไม่รู้เลยว่าจะจบวันไหน จะจบอย่างไร

หลายคนพูดว่าถ้าออกไปจากซากตึกได้ ก็จะพบอนาคต

จนหลายชีวิตที่พยายาม ต้องจบลงในปัจจุบัน

แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ยังต้องการอนาคต

ก็ใช่ ที่ไม่มีใครล่วงรู้อนาคต

แต่เพราะเรามั่นใจ ว่าวันไหนก็ไม่แย่ไปกว่าวันนี้อีกแล้ว

อนาคตไม่เลวร้ายไปกว่าปัจจุบันแน่นอน’

 

ในทีวีรายงานข่าวด่วน มีระเบิดตกลงนอกเมืองในจุดที่เป็นเส้นทางอพยพ ภาพข่าวตะกุกตะกักพอๆ กับเสียงนักข่าวที่รายงานสด

มีเสียงระเบิด แล้วฝุ่นควันก็เต็มจอ ภาพสั่นไหว เสียงนักข่าวติดๆ ขัดๆ แต่นั่นหมายถึงเขายังมีชีวิต

ควันค่อยๆ จาง ยังไม่มีระเบิดลูกถัดมา ภาพในจอนิ่งขึ้น นักข่าวเริ่มออกเดิน ผมมองตามกล้อง หวังไว้ว่าจะไม่เห็นภาพที่คาดว่าต้องมี

แต่ไม่มี ดีใจที่คาดผิด และหวังว่าในความเป็นจริง จะไม่มีภาพความตายให้นักข่าวเห็นเช่นกัน

ข่าวบอกว่านี่คือเส้นทางผู้อพยพ นั่นหมายความว่าทุกคนปลอดภัย และยังคงไปข้างหน้า ผมรู้ว่าอะไรนำพวกเขาไป เรื่องนี้พ่อเคยให้คำตอบไว้

‘เพราะศรัทธานั่นไงเล่า

เราต่างขอบคุณโอกาสที่ได้เกิด

ขอบคุณโอกาสที่ให้เราสัมผัสผิวโลก

เราอยากทำให้ชีวิตแข็งแกร่ง เพื่อดูแลที่ที่เราเกิดให้มีคุณค่า

จากนั้นก็ส่งให้คนรุ่นต่อไป ก่อนจากลาอย่างภาคภูมิใจ

แต่เราอยู่ที่เดิมไม่ได้

เพราะที่นั่นเรารักษาอะไรไว้ไม่ได้ แม้แต่ความศรัทธาในการมีชีวิต

เราไม่ได้ต้องการเลือก ว่าอยากมีชีวิตในพื้นที่ใด

เรากำเนิดขึ้นที่ไหน เราก็เป็นคนของที่นั่น

แม้วันนี้เราจะไม่ใช่คนของที่นั่น แต่ต้องจำไว้ว่าเรามาจากที่ไหน

นี่คือศรัทธา’

 

มีพาดหัวข่าวด่วน

[จะมีการเจรจาเพื่อยุติสงครามในอนาคตอันใกล้]

ผมกดปุ่มเร่งเสียง ผู้นำสองประเทศต่างแถลงการณ์ยืนยันพร้อมกันในทำเนียบของตัวเอง และออกคำสั่งให้กองทัพสิ้นสุดภารกิจ

นักข่าวพูดปิดท้ายว่าขอให้ชาวโลกร่วมเป็นพยาน

อีกไม่นานโลกจะสงบ คนตายจะกลายเป็นความทรงจำ บ้านเมืองจะถูกซ่อมแซมด้วยคนที่ยังอยู่เหมือนทุกสงคราม รวมทั้งสงครามที่ทำให้บรรพบุรุษของผมกลายเป็นผู้อพยพ

ผมนึกถึงอีกคำตอบแสนสั้นของพ่อ ที่ผมถามว่าทำไมบรรพบุรุษของเราไม่อยู่ที่เดิม

‘เพราะเราไม่ยอมให้สงครามทำลายชาติพันธุ์’

 

ลูกยังไม่ออกมา หลายนาทีแล้วที่ไม่มีเสียงจากในห้อง แต่เป็นไปได้ว่าผมอาจไม่ได้ยินเพราะเสียงของข่าวดังกลบทุกเสียง

มีพาดหัวข่าวด่วนอีกรอบ

[การนัดเจรจาล่ม]

ผมปิดทีวี ปล่อยให้เป็นเวลาของความเงียบ

จนกระทั่งลูกวิ่งชูมือออกมา

“พ่อครับ ชนะแล้ว ยึดเมืองคืนได้แล้ว”

“ลูกทำดีมาก” ผมชูนิ้วโป้งให้

“เปิดข่าวหน่อยครับพ่อ”

“ข่าวจบแล้ว”

“ถ้าสงครามสงบ พวกเขาจะกลับบ้านใช่ไหมครับ”

ลูกถามด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ

ผมยีหัวลูก ก่อนหันไปสบตาพ่อในรูปถ่าย

พร้อมคำถามใหม่ •