ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 29 มีนาคม - 4 เมษายน 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | My Country Thailand |
ผู้เขียน | ณัฐพล ใจจริง |
เผยแพร่ |
My Country Thailand | ณัฐพล ใจจริง
กรมโฆษณาการ
เปิดเพลงอะไรปลุกปลอบขวัญคนไทย
ครั้งปลายสงคราม
ใครจะคิดได้ว่า ในช่วงปลายสงคราม ตามเมืองใหญ่ๆ และจุดยุทธศาสตร์ทางการทหารในไทยถูกเครื่องบินทิ้งระเบิดของสัมพันธมิตรอย่างหนักเสีย
ในขณะที่กองทัพญี่ปุ่น รัฐบาลและกองทัพไทยสิ้นสมรรถภาพทางการทหารในการต่อต้านการโจมตีทางอากาศเพื่อสร้างความปลอดภัยให้คนไทยมากไปกว่าการเปิดเพลงผ่านวิทยุกรมโฆษณาการเพื่อปลุกใจและปลอบขวัญให้คนไทย
ความเป็นความตายในยามสงคราม
ในช่วงปลายสงคราม เมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรโจตีพระนครอย่างหนัก ชาวปากคลองตลาดคนหนึ่งบันทึกว่า เมื่อเสียงหวอเตือนภัยดังขึ้น ชาวบ้านละแวกนั้นรีบวิ่งออกจากบ้านเข้าวัดโพธิ์ พวกเขาหวัง “เอาพระเป็นที่พึ่ง ไม่กลัวผีที่คอยหลอกคนขี่สามล้อ เวลาหวอมาคนเราไม่กลัวผี แต่กลัวความตาย ที่จะทำให้เรากลายเป็นผีนั่นเอง” (อาจินต์ ปัญจพรรค์, 2541, 92)
ในช่วงเวลานั้น ชีวิตของคนไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพระนครประหนึ่งแขวนอยู่บนเส้นด้าย
คนไทยแถบสถานีรถไฟบางกอกน้อยอันเป็นจุดยุทธศาสตร์เล่าว่า ในช่วงนั้น รัฐบาลประกาศให้ชาวบ้านพรางไฟ ด้วยใช้ผ้าสีดำหรือสีกรมท่าทำเป็นกรวยครอบหลอดไฟไว้ป้องกันมิให้เครื่องบินสัมพันธมิตรเห็นในการโจมตีทางอากาศ แม้แต่การเผาศพก็ให้เผาในเวลากลางวันแทน
ในช่วงต้นสงคราม คนไทยทั่วไปยังคงทำงานได้ปกติ แต่อันตรายจากระเบิดเกิดมากในช่วงปลายสงคราม เนื่องจากพระนครถูกฝ่ายสัมพันธมิตรโจมตีถี่ขึ้น ผู้คนอพยพไปนอกเมือง แต่มีความเป็นห่วงบ้านยังต้องแวะกลับมาบ้านตรวจความปลอดภัยอยู่เสมอ (สุภาภรณ์ จินดามณีโรจน์, 2553, 265)
แม้นผู้ใหญ่ในครั้งนั้นจะหวาดกลัวความสูญเสียทั้งบ้านเรือน ทรัพย์สินและชีวิตจากการทิ้งระเบิด แต่เด็กๆ ครั้งนั้นกลับเห็นเป็นเรื่องสนุกสนาน ดังวราห์ ชาวบางไส้ไก่ ฝั่งธนบุรีเล่าว่า สมัยวัยเด็กช่วงสงครามนั้น “การวิ่งดูเครื่องบินทิ้งระเบิดตามประสาเด็ก ค่อนข้างสนุกกับเหตุการณ์ครั้งนั้น เป็นการดูอย่างระมัดระวังตลอดเวลา เพราะไม่รู้ภัยจะมาถึงตัวเมื่อไร ที่หวาดเสียวเห็นจะเป็นตอนที่เครื่องบินบินผ่านตัวไป กลัวระเบิดตกลงมา หรือไม่ก็ถูกกราดยิงด้วยปืนกล…” (lek-prapai.org/home/view.php?id=191)
การโจมตีทางอากาศครั้งนั้นจะใช้การทิ้งระเบิดและยังยิงปืนกลลงมาทำลายบ้านเรือนและทหารญี่ปุ่น ฝูงบินมักจะเข้ามาโจมตีในคืนเดือนหงายเพื่ออาศัยแสงจันทร์นำทาง แต่เมื่อปลายสงคราม มีโจมตีแม้ในคืนเดือนมืดด้วยการใช้พลุส่องสว่างให้แสงแทน รวมทั้งการโหมโจมตีในยามกลางวันอีกด้วย (สุภาภรณ์ จินดามณีโรจน์, 2553, 271-272)
ภายใต้สิ่งโชคชะตาและความตายของประชาชนที่ควบคุมไม่ได้ ทำให้รัฐบาลในครั้งนั้นพยายามปลุกขวัญกำลังใจและปลอบใจให้ประชาชนคลายความหวาดกลัวด้วยการกระจายเสียงเพลงปลุกใจที่มุ่งสร้างความรู้สึกปลุกเร้าจิตสำนึกให้รักชาติ รักษาความสามัคคีและมีความเสียสละให้ชาติผ่านวิทยุของกรมโฆษณาการให้จิตใจประชาชนฮึกเหิมไม่หวาดหวั่นอยู่ตลอดเวลา
บทเพลงปลุกปลอบขวัญ
ในช่วงสงคราม รัฐบาลได้เผยแพร่เพลงปลุกใจให้ประชาชนรักชาติและมีความสามัคคีจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานเพลงปลุกใจของหลวงวิจิตรวาทการ เช่น เพลง ตื่นเถิดชาวไทย รักเมืองไทย แหลมทอง และต้นตระกูลไทย
แต่มีเพลงอยู่สองเพลงที่ถูกใช้ในการปลุกปลอบขวัญในช่วงปลายสงครามยามที่สัมพันธมิตรโจมตีทางอากาศ การใช้เพลงในการปลอบขวัญในช่วงเวลานั้นยังอยู่ในความทรงจำของคนร่วมสมัยในครั้งนั้น คือเพลง “พุทธคุณคุ้มไทย” และเพลง “รักชาติยิ่งชีพ”
ช่วงปลายสงคราม วิทยุกรมโฆษณาการนิยมเปิดเพลงพุทธคุณปกป้องให้ประชาชนฟัง (โกวิทย์ ตั้งตรงจิตร, 2556, 148) โดยหมอเสนอ อินทรสุขศรี ครั้งเป็นนักศึกษาแพทย์ศิริราชในช่วงสงครามเล่าว่า ในช่วงนั้น ชาวบ้านสังเกตกันว่า เมื่อไรวิทยุกรมโฆษณาการเปิดเพลงพุทธคุณคุ้มไทยของหลวงวิจิตรวาทการ เขาสังเกตว่า “พอเพลงนี้เริ่มขึ้นทีไร เพลงจบได้สักพักเท่านั้นแหละ หวอดังขึ้นมาทันที แล้วชั่วอึดใจ เสียงหึ่ง หึ่งของเครื่องบินข้าศึกก็ได้ยินเหมือนว่ามาอยู่เหนือหัวเราแล้ว” (เสนอ อินทรสุขศรี, 2548, 81)
อย่างไรก็ตาม ใหญ่ นภายน นักดนตรีกรมโฆษณาการเล่าว่า ในระหว่างที่พระนครถูกทิ้งระเบิด ผู้คนในพระนครต่างหวาดกลัวกันมาก พอได้ยินเสียงหวอเท่านั้น วิ่งกันหน้าตื่นหกล้มหกลุก ตะเกียกตะกายหาที่หลบภัยกัน ลงท้องร่องสวนบ้าง มุดเข้าหลุมที่ขุดไว้กันบ้าง เพื่อไม่ให้เป็นเหยื่อระเบิด
ในช่วงนั้น กรมโฆษณาการครั้งนั้นนำเพลง “รักชาติยิ่งชีพ” มาเปิดกระจายเสียงก่อนที่เครื่องบินจะมาทิ้งระเบิด เป็นการแจ้งเตือนภัยให้ประชาชนรู้ล่วงหน้า รู้ว่าเมื่อใดเพลงรักชาติยิ่งชีพดังขึ้น ประชาชนต้องรีบเข้าหาที่กำบังหรือหลุมหลบภัยทันที
สําหรับประวัติเพลงรักชาติยิ่งชีพนี้ เป็นผลงานของหลวงรณสิทธิ์พิชัยแต่งเนื้อร้อง ส่วนทำนองแต่งโดยเอื้อ สุนทรสนาน มีเนื้อเพลงว่า “เกิดเป็นไทย เป็นไทยดังนาม เพียบด้วยความรักชาติยิ่ง ทั้งใจทั้งกายทุกสิ่ง ยิ่งวาจาจริงทุกสิ่งไป ชาติที่รักของเรา เราควรเทิดไว้บูชา มีคุณล้นเหลือล้ำค่า สุดจะพรรณนานับได้ เราเป็นไทย ต้องใจมีความรักชาติ เราต้องพลีชีวาตม์ สละให้ชาติด้วยความหวังดี มาเผ่าพงศ์วงศ์วานของไทย เรารวมใจดำรงคงชาติด้วยดี รักชาติเรานี้ยิ่งชีพ” ในครั้งนั้น เมื่อคนไทยได้ยินเพลงนี้จากวิทยุเมื่อไร ต่างต้องหาที่หลบภัยโดยเร็ว
และภายหลังที่การทิ้งระเบิดผ่านพ้นไปแล้ว กรมโฆษณาการจะเปิดเพลง “พุทธคุณคุ้มไทย” ซึ่งมีเนื้อหาขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองชาวไทยและชาติไทยให้ร่มเย็นเป็นสุขตลอดไป (mgronline.com/columnist/detail/9480000146326)
ทั้งนี้ เพลงพุทธคุณคุ้มไทยมีเนื้อดังนี้ “ขอพุทธคุณปกป้องคุ้มครองไทย เป็นที่ดำรง เป็นแหล่งพระธรรมและพระวินัย ให้อยู่ยืนยงแผ่ไพศาลไปทุกแดนแผ่นดิน ขอปวงสิ่งเรืองฤทธิ์มาช่วยประสิทธิ์ให้ไทยเถกิง ขอให้ไทยโชติช่วงดังดวงเพลิงอยู่ชั่วฟ้าดิน เกียรติไทยเกริกก้องเหมือนกลองเภรินทุกทิศทุกทาง”
พล.อ.อ.ทวี จุลละทรัพย์ เล่าว่า ในช่วงปลายสงคราม กองทัพอเมริกันตั้งกองบัญชาการต่อต้านญี่ปุ่นที่เมืองแคนดี้ ศรีลังกา ฝ่ายสัมพันธมิตรจะส่งเครื่องบินเข้าโจมตีกองทัพญี่ปุ่นในไทย บางครั้งในช่วงแรก ฝูงบินทิ้งระเบิดบินมาจากฮาวายมุ่งไปอินเดีย จึงถือโอกาสทิ้งระเบิดในไทยด้วย แต่เป้าหมายในครั้งแรกๆ นั้นมีความสะเปะสะปะมาก ต่อมาเมื่อเกิดความร่วมมือระหว่างกองทัพอากาศอเมริกันภาคตะวันออกกับสำนักบริการยุทธศาสตร์ (O.S.S) แล้ว เป้าหมายการทิ้งระเบิดมีความแม่นยำขึ้น
ทวีเล่าต่ออีกว่า ครั้งหนึ่ง เขาปฏิบัติการทิ้งระเบิดลงอู่บางกอกด๊อดริมแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งเป็นอู่ซ่อมเรือขนาดใหญ่ที่ญี่ปุ่นครอบครองในไทย เครื่องบินทิ้งระเบิดจะบินลดระดับลงต่ำถึงขนาดเห็นคนไทยยืนดูแถวถนนเจริญกรุง โบกมือโบกผ้าเช็ดหน้าให้กับพวกนักบินสัมพันธมิตร (ทวี จุลละทรัพย์, 190-191)
เมื่อครั้งสงคราม ครั้นรัฐบาลตรวจพบการเข้ามาโจมตีทางอากาศของสัมพันธมิตรแล้ว รัฐบาลพยายามส่งสัญาณเตือนภัยให้ประชาชนเตรียมหาที่หลบให้ปลอดภัยด้วยการใช้เพลงผ่านวิทยุกระจายเสียงของกรมโฆษณาการเพื่อปลุกใจและปลอบขวัญคนไทยเตรียมรับมือภัยจากสถานการณ์อย่างมีสติอันยังคงอยู่ในร่องรอยของความทรงจำของคนในครั้งนั้นที่ทำให้คนในครั้งนี้เข้าใจถึงความทุกข์ยากของปู่ย่าตาทวดของเราในครั้งนั้นได้เป็นอย่างดี
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022