ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 22 - 28 มีนาคม 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | Agora |
ผู้เขียน | กฤตภาศ ศักดิษฐานนท์ |
เผยแพร่ |
คุณเคยรู้สึกซังกะตาย หมดพลังในการใช้ชีวิต ล่องลอย เซื่องซึม เคว้งคว้าง ว่างเปล่า ว้าเหว่ เพราะว่าไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ไปทำไมบ้างหรือเปล่า
ถ้าเคยมี ความรู้สึกนี้อยู่กับคุณนานแค่ไหน 1 วัน 1 สัปดาห์ 1 เดือน 1 ปี หรือต่อเนื่องหลายปีแบบไม่มีวี่แววว่าจะหาย
ถ้าหากว่ามีนานเกิน 1 เดือนคุณแก้ปัญหาอย่างไร อาการนี้ทุเลาเบาบางลงเองหรือไม่ มันเลยเถิดไปจนถึงขั้นที่คิดจะจบชีวิตตัวเองหรือเปล่า
อาการที่กล่าวมานี้อาจมาจากทางกายหรือเป็นสภาวะจิตใจที่เหตุมาจากความผิดปกติทางกาย ไม่ว่าจะเป็นเคมีในสมองหรืออะไรก็ตามแต่ ซึ่งสามารถรักษาได้ด้วยวิธีการทางการแพทย์
ซึ่งในกรณีแบบนี้ความคิดจิตใจของคนผู้นั้นไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่การทำงานของกลไกบางอย่างในร่างกายได้ส่งผลกระทบไปสู่ภาวะทางจิตใจในที่สุด เมื่อต้นตอมาจากร่างกาย การแก้ที่ต้นเหตุจึงได้ผล
แต่อีกประเภทหนึ่งมาจากความคิดจิตใจ ไม่ได้มีต้นตอมาจากความผิดปกติของร่างกาย ทว่า เป็นผลพวงจากการใคร่ครวญด้วยเหตุผลแล้วไม่พบ “ความหมายของชีวิต” (meaning of life) การที่ยังมีชีวิตอยู่แต่ตระหนักว่า “ชีวิตไม่ได้มีความหมายอะไร” (meaningless) ไม่ว่าจะอยู่หรือตายก็มีค่าไม่ต่างกัน ทำให้เคว้งคว้างว่างเปล่าหมดพลังในการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อดำเนินชีวิตต่อ
ในทางปรัชญาเรียกภาวะนี้ว่า “วิกฤตการดำรงอยู่” (Existential Crisis) ซึ่งต่อมาได้ขยายเข้ามาสู่แวดวงจิตวิทยาอันนำไปสู่ขั้นตอนการรักษาเยียวยาในอีกทิศทางหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะมีวิธีรับมือสภาวะนี้จากทางจิตวิทยาแล้วก็ตาม ก็ต้องไม่ลืมว่าที่มาของปัญหาในประเภทหลังนั้นมาจากเรื่อง “ความคิด”
เพราะการที่ไม่สามารถตอบคำถามหรือสร้างความกระจ่างให้กับปัญหานี้ก็ย่อมทำให้คนผู้นั้นขาดเป้าหมายชีวิตที่หนักแน่นไปด้วย จึงทำให้เขาจำต้องใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ แบบหมดอาลัยตายอยาก บั่นทอนสุขภาพกายและจิตใจของทั้งตัวเองและคนรอบข้าง
ดังนั้น หากจะรับมือกับปัญหานี้อย่างยั่งยืนจริงๆ ก็จำเป็นต้องตอบคำถามให้ได้ว่า “ชีวิตมีความหมายหรือไม่” และไม่ว่าจะมีหรือไม่มี เราควรใช้ชีวิตที่เหลืออยู่นี้ต่อไปอย่างไรและเพื่ออะไร
นักปรัชญาที่เสนอความคิดในเรื่องนี้มีจำนวนไม่น้อยและให้คำตอบที่แตกต่างกันออกไป ส่วนใหญ่แล้วอยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า “อัตถิภาวนิยม” ซึ่งบ่อยครั้งก็เรียกทับศัพท์ไปเลยว่า “เอ็กซิสเตนเชียลลิสซึ่ม” (Existentialism)
บิดาของสายความคิดนี้หากนับตามลำดับทางประวัติศาสตร์ก็คือ “โซเรน เกียร์เกการ์ด” (S?ren Kierkegaard) นักปรัชญาชาวเดนมาร์ก ส่วนในยุคถัดๆ มาก็มีนักปรัชญาในสายสกุลความคิดนี้อีกเป็นจำนวนมาก เช่น มาร์ติน ไฮเดกเกอร์ (Martin Heidegger) นักปรัชญาชาวเยอรมัน และ ฌอง ปอล ซาตร์ (Jean-Paul Sartre) กับ อัลแบร์ กามูส์ (Albert Camus) ชาวฝรั่งเศส เป็นต้น
นักปรัชญาบางคนในกลุ่มนี้แม้จะอยู่ในสายสกุลความคิดเดียวกันแต่ก็ให้คำตอบที่แตกต่างกันไปสุดขั้ว
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือเกียร์เกการ์ดที่เชื่อว่ามนุษย์จำเป็นต้องหลุดพ้นจากความสิ้นหวังด้วยการทำให้ชีวิตมีความหมายเพื่อยึดโยงตัวเองเข้ากับสิ่งที่สูงส่งและถาวรกว่า
โดยมีพัฒนาการสามขั้นได้แก่
(1) ขั้นสุนทรียศาสตร์ (Aesthetic) มนุษย์จะอุทิศตนไปสู่การสร้างสรรค์หรือเสพรับคุณค่าทางศิลปะต่างๆ ซึ่งมีความยืนยงกว่าชีวิตมนุษย์
(2) ขั้นจริยธรรม (Ethical) มนุษย์จะพัฒนาชีวิตตนเองในด้านความถูกผิดดีชั่วทางศีลธรรมและความรับผิดชอบซึ่งมีคุณค่ายืนยงกว่าศิลปะ
และ (3) ขั้นศาสนา (Religious) อันเป็นขั้นสูงสุดซึ่งมนุษย์จะปวารณาตัวเองเข้ากับศรัทธาทางศาสนา
ซึ่งทำให้ท้ายที่สุดเกียร์เกการ์ดอุทิศตนไปสู่การเป็นคริสเตียนตามแนวคิดที่เรียกว่า “การก้าวกระโดดแห่งศรัทธา” (Leap of Faith)
ในขณะที่นักปรัชญาเอ็กซิสเตนเชียลลิสซึ่มอีกหลายคนมีความคิดที่ต่างไปจากเกียร์เกการ์ด ไม่ว่าจะเป็นไฮเดกเกอร์ที่ไม่ได้มุ่งไปสู่ทิศทางของศาสนาแต่ให้การสนับสนุนนาซีเยอรมันจนกลายเป็นตราบาปที่ติดตัวไปตลอด
ส่วนซาตร์กับกามูส์ก็เป็นพวก “อเทวนิยม” (atheist) คือปฏิเสธพระเจ้าและใช้วิธีสร้างความหมายให้กับชีวิตโดยไม่ต้องอิงกับความเชื่อทางศาสนา
โดยมองว่า “ชีวิตที่มีความหมาย” (meaningful life) สามารถสร้างได้ผ่าน “การเลือก” (choosing) คือเลือกกระทำสิ่งต่างๆ อยู่ตลอดเวลาว่าจะทำหรือไม่ทำอะไร และทำสิ่งเหล่านั้นอย่างไร
การที่แต่ละคนเลือกไม่เหมือนกันนี้ได้วาดตัวตนของแต่ละคนออกมาทำให้มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน
การเลือกนั้นต้องเลือกอย่างเป็นตัวของตัวเองตามความคิดความเชื่อที่แท้จริงของตน ไม่ใช่เลือกไปตามบทบาทหน้าที่ซึ่งสังคมกำหนด หรือความคิด ความเชื่อ ค่านิยมของคนอื่น ลองจินตนาการดูว่าหากสังคมมีความเชื่อหรือค่านิยมร่วมกันเป็นจำนวนมากแล้วค่านิยมนี้ขัดแย้งกับตัวตนที่แท้จริงของเรา เราจะยอมปล่อยตัวให้ไหลไปตามสังคมหรือจะฝืนต้านเพื่อเป็นตัวของตัวเอง
หากยอมตามกระแสสังคมโดยที่แท้จริงแล้วก็ไม่ได้ปรารถนาเช่นนั้น ก็เท่ากับสูญเสียตัวตน แล้วไปขึ้นกับความคิดของคนอื่น เอ็กซิสเตนเชียลลิสซึ่มเรียกลักษณะเช่นนี้ว่า “ความไม่จริงแท้” (inauthenticity)
แต่หากตรงกันข้าม คือเป็นตัวของตัวเองแล้วตัดสินใจตามความคิดของเราจะเรียกว่า “ความจริงแท้” (authenticity) อย่างหลังนี่เองที่ชีวิตเป็นของเราจริงๆ และทำให้ชีวิตมีความหมาย
ถ้าใครเคยดูภาพยนตร์เรื่อง “Billy Elliot” คงจะเข้าใจความคิดนี้ได้ไม่ยาก
ตัวเอกของเรื่องชื่อบิลลี่ เอลเลียต เป็นเด็กผู้ชายในครอบครัวคนงานเหมืองถ่านหิน พ่อของบิลลี่ส่งเขาไปฝึกมวยตามค่านิยมของสังคมว่าผู้ชายควรมีบุคลิกและรสนิยมเป็นอย่างไร
ในขณะที่เขาไม่ได้ชอบเล่นกีฬาเลย แต่กลับหลงใหลในการเต้นบัลเล่ต์ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สังคมมองว่าเป็นเรื่องของเด็กผู้หญิง
การที่ตัวตนที่แท้จริงของบิลลี่สวนทางกับค่านิยมของสังคมทำให้เขาต้องตัดสินใจเลือกว่าจะยอมทำตามค่านิยมเหล่านั้น หรือจะฝืนต้านเพื่อให้ได้ใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองต้องการ
ท้ายที่สุดบิลลี่ก็เลือกที่จะเอาดีทางการเต้นบัลเล่ต์ แม้มีราคาที่ต้องจ่ายจากการเลือกทำในสิ่งที่ครอบครัวและสังคมไม่สนับสนุนก็ตาม
ลักษณะของการตัดสินใจเลือกตามสิ่งที่เป็นตัวเองจริงๆ ก็คือความจริงแท้
ปรัชญาเอ็กซิสเตนเชียลลิสซึ่มให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับเรื่อง “เสรีภาพ” (freedom) ซึ่งตามมาด้วย “ความรับผิดชอบ” (responsibility) ซาตร์กล่าวว่า “มนุษย์ถูกสาปให้มีเสรีภาพ” (Man is condemned to be free) คือไม่ว่าจะอยากมีเสรีภาพหรือไม่ ทุกคนก็ล้วนแล้วแต่มีเสรีภาพติดตัวอยู่ตลอดเวลา ทำให้ไม่สามารถปัดความรับผิดชอบทุกอย่างออกจากตัวได้ เพราะไม่ว่าจะมีอำนาจหรือสิ่งอื่นใดที่เข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิตมากเพียงใด แต่ทุกคนก็มีทางเลือกเสมอว่าจะตอบสนองและตัดสินใจทำอย่างไรต่อไปไม่ว่าจะยากลำบากสักเพียงใดก็ตาม
ด้วยปรัชญาเช่นนี้เองที่ทำให้มนุษย์สามารถวาดตัวตนขึ้นมาได้จาก “ความว่างเปล่า” (nothingness) และทำให้ชีวิตที่ดู “ไร้แก่นสารสาระ” (absurd) กลายเป็นชีวิตที่มีความหมายขึ้นมาได้ และควรค่าที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022