ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 22 - 28 มีนาคม 2567 |
---|---|
ผู้เขียน | พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ |
เผยแพร่ |
เหตุการณ์ต่างๆ ที่เจอตลอดระยะเวลาการรับราชการตำรวจในลำดับต่อไปคือ
11. ผมได้พบเหตุการณ์ของความประมาทเลินเล่อเพียงเล็กน้อย จนเกิดการสูญเสีย ที่ไม่สามารถจะแลกกลับคืนมาได้
เป็นเหมือนที่ฝรั่งมีเรื่องเล่าเยาะเย้ยคนไทยและเปรียบเปรยว่า คนไทยมีนิสัยมักง่าย จะขันน็อตไม่แน่น อะไรๆ ก็ไม่เป็นไร แต่เผอิญน็อตตัวนั้นมันเป็นน็อตตัวที่สำคัญ ทำให้เครื่องบินลำนั้นร่วงทั้งลำ
12. ผมเป็นตำรวจ มีสิ่งที่อยากเป็นแต่ไม่ได้เป็น และมีสิ่งที่ไม่อยากเป็นแต่ก็ได้เป็น เมื่อตกเป็นจำเลยในชั้นศาล ถูกทั้งอัยการและคนในกระบวนการตุลาการร่วมกันฟ้องในการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งยังถูกเล่นงานจนแทบเอาตัวไม่รอด
ถูกเจ้านายหรือผู้บังคับบัญชาบีบบังคับให้ช่วยคนกระทำผิด ทั้งที่ผมทำตามหน้าที่และปฏิบัติไปตามกฎหมาย เมื่อไม่มีหนทางอื่น จึงต้องสู้จนถึงที่สุด แต่ชีวิตก็ต้องพบกับความยุ่งยากลำบากแสนสาหัส
สุดท้ายผู้พ่ายแพ้และเดินเข้าคุกไม่ใช่ผม
13. เมื่อผมเข้าจับกุมผู้ค้ายาเสพติด แต่กลับถูกกลุ่มคนในชุมชนเข้าขัดขวางและทำร้ายด้วยอาวุธทั้งมีดพร้าเพื่อชิงตัวผู้ต้องหา หรือถูกชาวบ้านรุมทำร้ายเมื่อเข้าไปจับกุมผู้กระทำผิดในหมู่บ้านจนได้รับบาดเจ็บ
แต่ผมไม่ใช้อาวุธปืนยุติปัญหา เพราะตลอดชีวิตการเป็นตำรวจของผม ผมไม่เคยลั่นไกปืนแม้แต่กระสุนเพียงนัดเดียวใส่ประชาชนเลย
ในช่วงเวลาคับขันนั้นผมมีโอกาสและเหตุผลเพียงพอที่จะกระทำเช่นนั้นได้ แต่ผมเลือกที่จะไม่ยิง และห้ามผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคนใช้อาวุธปืน
ผมจัดการด้วยวิธีการทางกฎหมาย และเมื่อมองทบทวนกลับไป ผมตัดสินใจถูกต้อง เพราะชีวิตทุกชีวิตมีค่า
แต่ทั้งนี้ต้องสุดแล้วแต่เหตุการณ์ ณ ขณะนั้นที่จะต้องประเมิน ต้องสั่งการทันที และต้องตัดสินใจบนความเป็นความตายภายในเสี้ยววินาที
14.ผมถูกร้องเรียนบ่อยครั้ง จนถูกสืบสวนข้อเท็จจริง เมื่อต้องดำเนินคดีกับผู้มีอิทธิพลที่มีทั้งพวกพ้อง บริวาร หรือพวกที่มีอำนาจ และแปลกมากแทบทุกพื้นที่จะมีนักร้องเรียนประจำท้องถิ่น ผมไม่รู้จักหรือไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน เรื่องที่ร้องเรียนเป็นเรื่องไม่จริง คณะกรรมการจึงยุติเรื่อง
บางครั้งการร้องเรียนก็เป็นเทคนิคอย่างหนึ่งของวิชามารการต่อสู้คดี เพราะถือเป็นการล้วงความลับในสำนวนการสอบสวนได้อย่างเนียนๆ
เพราะเมื่อมีการร้องเรียนก็ต้องมีการชี้แจง หากชั่งน้ำหนักไม่ดี ประเมินสถานการณ์ไม่ออกแล้วเผลอไผล ชี้แจงโดยส่งข้อมูลในคดีไปทั้งหมด กลายเป็นการช่วยฝ่ายผู้ต้องหา ได้มีโอกาสรู้และเข้าถึงพยานหลักฐานของคดี ก่อนที่จะมีการพิจารณาและต่อสู้คดีในชั้นศาล
จึงเป็นอุบายของการเอาเปรียบในเชิงการต่อสู้ที่มาในรูปแบบของการร้องเรียน พนักงานสอบสวนไม่ระวัง จะตกเป็นเหยื่อ
อีกอย่างหนึ่งในการให้สัมภาษณ์หรือการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนในเรื่องคดีที่ประชาชนสนใจ หลายครั้งผู้ให้สัมภาษณ์เปิดเผยข้อมูลสำคัญในคดีต่อสาธารณะทั้งๆ ที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งและทำไม่ได้เลย
ยิ่งเป็นผู้นำสูงสุดหรือระดับรอง จะให้สัมภาษณ์ทำนองนี้บ่อยมากจนเกิดความเสียหายร้ายแรงต่อคดี
สาเหตุเป็นเพราะตำรวจโดยทั่วไป ประชาชนไม่ให้ความเชื่อถือว่าจะทำคดีอย่างมืออาชีพตรงไปตรงมา และมีจรรยาบรรณของตัวเอง ซึ่งที่ถูกต้อง ต้องเป็นเช่นนั้น ทั้งต้องซื่อสัตย์และเคารพประชาชน
แต่หลายคดีตำรวจดำเนินการอย่างน่าเคลือบแคลงและอธิบายให้สังคมไม่ได้ ว่าทำไมผลของคดีจึงเป็นเช่นนั้น
เป็นเช่นนี้มาเนิ่นนาน จนกระทั่งตำรวจพูดหรือแถลงอะไรความน่าเชื่อถือจึงติดลบ และเมื่อประชาชนไม่เชื่อถือ ก็กลายเป็นการแถ เพื่อกลบเกลื่อน และประดิษฐ์วาทกรรมที่พิสดารให้คนจดจำ
และที่สุด เมื่อประชาชนไม่เชื่อ หนทางสุดท้าย ก็เลยงัดหลักฐานต่างๆ ที่มีอยู่ในคดีเอามาพูดเสียเลย เพื่อแสดงถึงความเป็นฮีโร่ เป็นผู้นำที่รู้ไปหมด ทั้งที่คนรับผิดชอบสำนวนการสอบสวนเหนื่อยแทบตายไม่ได้พูด แต่คนพูดนอกจากไม่ได้สืบสวนสอบสวนด้วยตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบคดีและยังไม่ต้องไปเป็นพยานศาล ให้อัยการถาม ทนายซัก ผู้พิพากษาจด แต่ได้หน้าออกสื่อทุกวัน
มีฮีโร่ตัวปลอมอยู่กลาดเกลื่อนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คอยปล้นผลงานลูกน้องเพราะพวกนี้เติบโตและก้าวหน้าด้วยวิธีการแบบนี้ แทนที่จะปกป้องไม่ให้ใครใช้อำนาจมืดมาแทรกแซง
15.เมื่อผมมีตำแหน่งหน้าที่ราชการสูงขึ้น ทำให้มีอำนาจในการตัดสินใจได้มากขึ้น สามารถที่จะสั่งการไปตามอำนาจของตัวเองได้
ดังนั้น จึงปฏิญาณกับตัวเองไว้ว่าจะไม่ยอมขายจิตวิญญาณของการเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ และจะเป็นตำรวจที่ดีตามที่ตั้งปณิธานเอาไว้ให้ได้ เมื่อมีผู้บังคับบัญชาที่สูงขึ้นไปสั่งการในทางที่ผิด ทั้งผิดกฎหมายและผิดระเบียบ และเป็นการสั่งเพื่อประโยชน์ของตัวผู้บังคับบัญชาและผู้มีอำนาจ ผมจึงยอมขัดใจผู้สั่งทันที โดยไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย
16. ด้วยประสบการณ์ของผมในการเป็นพนักงานสอบสวน ผมพบว่า การไปตรวจสถานที่เกิดเหตุ เป็นหัวใจในการทำงาน และต้องตรวจอย่างละเอียด แค่วัตถุพยานชิ้นเล็กนิดเดียวที่พบในที่เกิดเหตุ ก็สามารถไขปริศนาทั้งคดีได้ และนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมดได้
บางคดีผมไปที่เกิดเหตุนับครั้งไม่ถ้วน ไปเพื่อคิดทบทวนเหตุการณ์ว่า ถ้าเป็นผู้ต้องหา ณ เวลานั้นจะต้องทำอย่างไร แล้วก็กลับมาคิดในหลายแง่มุม ให้ครบถ้วนที่สุดและสอดรับกับพยานต่างๆ
ทุกค่ำคืนของชีวิตพนักงานสอบสวน เวลาหมดไปกับการสืบสวนสอบสวนด้วยตัวเอง กลับมานั่งทำสำนวนการสอบสวนในห้องทำงานตามลำพัง หมกหมุ่นกับการนั่งครุ่นคิด ขบปัญหาที่ยังตีไม่แตก จนดึกดื่น แต่ทุกครั้งต้องสุขุม รอบคอบ ทั้งต้องแข่งกับเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด เป็นเช่นนี้ คดีแล้วคดีเล่า
17. ผมร่วมกับทีมงานสืบสวนสอบสวนจนออกหมายจับผู้ต้องหาเป็นร้อยคน และวางแผนการจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 100 คนได้ครบ 100% ภายในวันเดียวกัน โดยผู้ต้องหาหนีไม่ได้เลย และยังสามารถวางแผนการสอบสวนผู้ต้องหาเป็นร้อยคน ตั้งแต่การสอบสวนบันทึกปากคำ การพิมพ์ลายนิ้วมือผู้ต้องหา กระบวนการขั้นตอนการชี้ตัวผู้ต้องหา
ทุกอย่างเป็นไปได้อย่างราบรื่น ไม่มีสะดุดและไม่มีข้อครหา
18.ผมได้เห็นเล่ห์เหลี่ยมและชั้นเชิงของทั้งนักการเมืองและผู้บังคับบัญชาที่นำวิธีการที่สกปรกมาใช้ เพียงเพื่อขอรักษาอำนาจและผลประโยชน์ของตัวเอง วิธีการที่ใช้อำนาจในการทุจริต กอบโกยเอาทุกอย่าง ตามที่กิเลสตัวเองต้องการ
เช่น เรื่องการซื้อขายตำแหน่ง การช่วยทหารในการยึดอำนาจ ทำแม้กระทั่งปล้นบ้านของตัวเอง คือ การสร้างโรงพักและแฟลตที่พักตำรวจ
มันเศร้าสลดเสียใจอย่างที่สุดที่ครั้งหนึ่ง สำนักงานตำรวจแห่งชาติที่มีตำรวจที่มีดาวเต็มบ่าอย่างพลตำรวจเอก พลตำรวจโท พลตำรวจตรี พันตำรวจเอก และกำลังตำรวจอีกสองแสนคน แต่ทำอะไรไม่ได้
เปรียบเหมือนปล่อยให้โจรมาปล้นบนโรงพัก และบ้านพักตำรวจ แล้วหอบเอาเงินไป ต่อหน้าต่อตา โดยพวกที่ใหญ่ที่สุด กลับเงียบกริบ ได้แต่ทำตาปริบๆ
และบางคนยังช่วยโจรให้พ้นผิด ทั้งที่หลักฐานกองเกลื่อนทั่วประเทศ
19.เพราะมีบ้านพักตำรวจไม่เพียงพอ ผมจึงต้องไปเช่าบ้านอยู่ตามลำพัง ที่ อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี จนโจรบุกเข้าบ้านในยามวิกาล เมื่อเวลาที่ผมหลับสนิท เพราะเหน็ดเหนื่อยมาจากการทำงานหนัก จึงไม่สามารถที่จะป้องกันตัวเองได้ และผมไม่สามารถจะเป็นตำรวจได้ตลอดเวลาทั้ง 24 ชั่วโมง จึงถูกโจรลูบคม และรื้อค้นสิ่งของกระจุยกระจาย แต่ลักไปเพียงหมวกหม้อตาลสีกากีของนายพล เย้ยหยันผม ได้แค่นั้น
และอีกครั้ง เมื่อผมปราบปรามจับกุมผู้กระทำผิดในพื้นที่อย่างหนัก ที่ อ.สิงหนคร จ.สงขลา ผมถูกข่มขู่จากผู้ไม่หวังดีด้วยการยิงปืนขู่หน้าบ้านพัก ซึ่งเป็นบ้านเช่าหลังเดียวโดดๆ จนเพื่อนบ้านต้องเตือนให้ย้ายที่นอน และผมต้องไปนอนในห้องทำงานบนโรงพักแทน ด้วยการเอาเก้าอี้มาต่อเรียงกันเพื่อนอนทุกคืน
20. เมื่อผมเป็นผู้กำกับการ เป็นหัวหน้าโรงพัก ผมทั้งหาเงินงบประมาณ และเงินบริจาคจากผู้ที่ทำงานสุจริต มาพัฒนาโรงพักมากกว่า 10 ล้านบาท เพื่อให้ตำรวจและประชาชนมีความสะดวกในการทำงานและติดต่อ จนเป็นโรงพักอันดับ 1 ของประเทศในการประเมิน ทุกหลักสูตรของตำรวจเดินทางมาดูงานที่โรงพักผม รวมทั้งการตัดเครื่องแบบให้ตำรวจทั้งโรงพักเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ และเอาใจใส่ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ใต้บังคับบัญชาเท่าที่จะทำได้
ผมถือว่าทุกคนเป็นเพื่อนร่วมงานและได้ช่วยดูแลผมให้ทำงานได้อย่างเต็มที่
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022