ยุบก้าวไกลสู่เฟส 2 ของระบอบอันตราย

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

มติ กกต.เรื่องยุบก้าวไกลออกมาโดยที่ไม่มีใครแปลกใจเลย

แต่ที่ประหลาดกว่านั้นคือปฏิกิริยาของคนเลือกก้าวไกลกว่า 14 ล้านก็ไม่รุนแรงเหมือนสมัยยุบไทยรักไทย, พลังประชาชน และอนาคตใหม่ด้วย เพราะ “กระแส” สังคมพูดเหมือนกันหมดว่ายุบยังไงก็ไปเลือกพรรคใหม่ของก้าวไกลอีก และองค์กรที่ควรยุบคือองค์กรที่สั่งยุบก้าวไกล

สรุปแบบสั้นๆ มติ กกต.ที่เสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบก้าวไกลทำให้มีแต่คนถามว่าจะมีคำสั่งยุบเดือนไหน กรรมการบริหารพรรคก้าวไกลจะโดนตัดสิทธิกี่คน จะเหลือ ส.ส.ในพรรคอีกเท่าไร

แต่ไม่มีใครถามเลยว่าการยุบใช้กฎหมายแบบไหน และตกลงแล้วพรรคก้าวไกลผิดจริงๆ หรือไม่ผิดจริงแต่ถูกตัดสินว่าผิดตามโผที่รู้ๆ กัน

สำหรับผู้มีอำนาจที่อยู่เบื้องหลังคำสั่งยุบก้าวไกล ข่าวดีคือการยุบไม่ได้ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นทันทีแบบยุบไทยรักไทยและพลังประชาชน

แต่ข่าวร้ายกว่านั้นคือคนจำนวนมากเชื่อว่าคำสั่งยุบคือแผนที่มาตามนัดอยู่แล้ว ก้าวไกลไม่ได้ทำอะไรผิด ส.ส.ที่ทำหน้าที่เสนอแก้กฎหมายไม่ใช่คนล้มล้างการปกครอง และองค์กรที่ควรถูกยุบไม่ใช่ก้าวไกล

ต่อให้โฆษกพรรคก้าวไกลอย่างคุณพริษฐ์ วัชรสินธุ จะบอกว่าอย่าด่วนสรุปว่าศาลจะสั่งยุบก้าวไกล ภายใต้ความเชื่อว่าการยุบก้าวไกลเป็นเรื่องที่ผู้มีอำนาจล็อกไว้แล้ว คนทั่วไปจึงเชื่อต่อไปว่าเรื่องทั้งหมดนี้เกิดเพราะผู้มีอำนาจเหม็นขี้หน้าก้าวไกล

และยิ่งเชื่อแบบนี้ก็ยิ่งเชื่อไปอีกว่ากฎหมายถูกใช้เพื่อเป้าหมายทางการเมืองจนไม่เหลือความศักดิ์สิทธิ์เลย

 

ในแง่นี้ การยุบพรรคก้าวไกลจะไม่ทำให้เกิดการลุกฮือต่อต้านอย่างปุบปับ แต่คือการตอกย้ำความเชื่อที่มีตั้งแต่สมัยยุบไทยรักไทยว่าประเทศนี้มีคนใหญ่กว่าประชาชน การเลือกตั้งเปลี่ยนประเทศไม่ง่าย องค์กรอิสระใหญ่กว่าสภาผู้แทนราษฎร ประชาธิปไตยไม่ใช่ชนะเลือกตั้งแล้วม้วนเดียวจบ และต้องไปเลือกตั้งจนเกิดแลนด์สไลด์เพื่อเปลี่ยนประเทศจริงๆ

แม้หลายประเทศจะมีกฎหมายยุบพรรคการเมือง แต่เงื่อนไขทางกฎหมายของการยุบคือพรรคทำให้เกิดความรุนแรงหรือการก่อการร้าย มีไม่กี่ประเทศที่ยุบพรรคด้วยเหตุผลที่แท้จริงคือการกำจัดฝ่ายตรงข้ามผู้มีอำนาจ และพูดตรงๆ ก็คือประเทศที่ทำแบบนี้ได้แก่ประเทศเผด็จการหรือประเทศที่อำนาจนอกระบบเป็นใหญ่อย่างพม่า, อียิปต์, กัมพูชา และไทย

พรรคการเมืองคือการรวมกลุ่มที่เป็นหลักการพื้นฐานของสิทธิมนุษยชนและสิทธิพลเมืองสากล เมื่อใดที่ผู้มีอำนาจยุบพรรคการเมืองโดยอ้างกฎหมายได้ตามใจชอบ เมื่อนั้นการรวมตัวเป็นพรรคโดยอิสระของประชาชนก็เสียไปด้วย ไม่โดยการถูกยุบก็โดยการทำตัวจ๋องๆ เพื่อเอาตัวรอดอย่างที่บางพรรคการเมืองทำในปัจจุบัน

วิธียุบพรรคแบบกัมพูชา, พม่า และไทยทำตามกฎหมายแน่ๆ แต่เป็นกฎหมายที่เขียนเพื่อให้ยุบพรรคได้ตามใจชอบในที่สุด เพราะมักเขียนกฎหมายให้ความผิดเข้าข่ายยุบพรรคทำได้อย่างกว้างขวาง พิจารณาคดีไม่โปร่งใส ผู้พิพากษาไม่เป็นอิสระ

โดยเนื้อแท้จึงเป็นการเขียนกฎหมายให้ผู้มีอำนาจอ้างว่ายุบพรรคตามกฎหมายเท่านั้นเอง

 

ยิ่งคิดถึงกฎหมายยุบพรรคก็ยิ่งเห็นการเขียนกฎหมายเพื่อให้ยุบพรรคได้ตามอำเภอใจ เพราะรัฐธรรมนูญ 2560 ระบุถึงขั้นยุบได้ต่อให้แค่สงสัยว่าพรรค “อาจจะ” ทำอะไรผิด ทั้งที่ “อาจจะ” คือการคาดเดาที่คิดไปเอง การกระทำจริงยังไม่เกิด และต่อให้เกิดก็อาจไม่เข้าข่ายล้มล้างการปกครองอะไรเลยแบบกรณีพรรคก้าวไกล

กฎหมายยุบพรรคแบบนี้ต้องแก้ และรัฐบาลรวมทั้งพรรคการเมืองต้องถือเป็นภารกิจในการแก้ด้วย ไม่อย่างนั้นการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือกำจัดฝ่ายตรงข้ามด้วยวิธียุบพรรคจะไม่จบ และทุกพรรคจะต้องทำงานแบบ “อยู่เป็น” เพื่อไม่ให้ผู้มีอำนาจเหม็นหน้าจนถูกสั่งเก็บกวาดในบั้นปลาย

พูดก็พูดเถอะ ตอนที่คุณประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เป็นนายกรัฐมนตรีด้วยเสียงโหวตจากพรรคที่เคยบอกว่าจะไม่เอานายกฯ ที่มาจาก ส.ว. หัวหน้าพรรคคนหนึ่งก็บอกผมว่าได้รับคำเตือนจากผู้มีอำนาจว่าถ้าไม่โหวตจะถูกยุบพรรค ไม่รู้หรือว่าพรรคเสี่ยงโดนคดีเยอะไปหมด รู้หรือเปล่าว่าองค์กรอิสระอยู่ข้างไหน ฯลฯ

จนในที่สุดต้องโหวตคุณประยุทธ์ในบั้นปลาย

 

ในกรณีของการยื่นยุบพรรคก้าวไกล ปัญหาใหญ่มีอยู่อย่างเดียวคือพรรคก้าวไกลคือพรรคที่ประชาชนหลายสิบล้านเชื่อว่าก้าวไกลไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ถึงแม้พรรคก้าวไกลจะถูกฝ่ายตรงข้ามปล่อยข่าวโจมตีแค่ไหนตั้งแต่ช่วงก่อนเลือกตั้งจนชนะเลือกตั้งแล้วไม่ได้เป็นรัฐบาลก็ตาม

นอกจากการเลือกตั้งปี 2566 จะมีผู้ใช้สิทธิ 39.3 ล้านคนหรือ 75.2% ของผู้มีสิทธิทั้งหมดจนเป็นการเลือกตั้งที่มีอัตราการใช้สิทธิสูงสุดตั้งแต่ กกต.จัดเลือกตั้งมา การเลือกตั้งปี 2566 ยังเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่พรรคชนะเลือกตั้งไม่ถูกกล่าวหาว่าโกง, แจกเงิน, ใช้อิทธิพล, พึ่งอำนาจรัฐ, เกณฑ์หัวคะแนน ฯลฯ อย่างที่เกิดในการเลือกตั้งครั้งอื่น

ทันทีที่มีการเคลื่อนไหวเพื่อยุบก้าวไกล ภาพที่ประชาชนเห็นคือการบีบบังคับให้ประชาชนมีทางเลือกเหลือแค่การอยู่กับพรรคการเมืองที่เบื่อหน่ายจนเสียงโหวตในการเลือกตั้งปี 2566 ตกต่ำดิ่งเหวทั้งหมด

ความไม่พอใจของประชาชนจากการถูกยัดเยียดทางการเมืองจึงยิ่งสูงขึ้นเป็นทวีคูณ

 

ถ้าประเทศไทยอยู่ในภาวะปกติที่พรรคชนะเลือกตั้งอันดับ 1 สามารถจัดตั้งรัฐบาลอย่างที่เป็นตั้งแต่ปี 2531 จนถึง 2557 ชัยชนะของพรรคก้าวไกลย่อมทำให้คนไทยได้รัฐบาลจากการเลือกตั้งซึ่งเข้าสู่อำนาจโดยบริสุทธิ์ที่สุดครั้งหนึ่ง แต่ด้วยความผิดปกติที่ครอบงำประเทศตั้งแต่ปี 2549 ชัยชนะของก้าวไกลกลับเป็นปฐมบทของการกำจัดก้าวไกล

ด้วยมติที่เป็นเอกฉันท์ของ กกต.เรื่องการเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคก้าวไกล แม้แต่เด็กประถมก็รู้ว่าโอกาสที่ไทยไปบอลโลกยังมากกว่าโอกาสที่ก้าวไกลจะรอดคดียุบพรรค

ไม่ใช่เพราะก้าวไกลล้มล้างการปกครองจากการเสนอแก้กฎหมายอย่างที่ กกต.กล่าวหา แต่เพราะทุกคนรู้ว่าผู้มีอำนาจทุกกลุ่มมีฉันทานุมัติในการกำจัดก้าวไกล

แม้ผู้มีอำนาจจะใช้องค์กรอิสระและศาลกำจัดฝ่ายตรงข้ามมาตั้งแต่รัฐประหารปี 2549 แต่เมื่อเทียบกับไทยรักไทยและพลังประชาชนที่ผู้มีบารมีเหม็นขี้หน้าจนถูกยุบ พรรคก้าวไกลและอนาคตใหม่ถูกผู้มีอำนาจทั้งชนชั้นมองเป็นภัยคุกคามจนต้องกำจัดให้สิ้นซากระดับที่แม้แต่ไทยรักไทยและพลังประชาชนก็ไม่เคยเจอ

 

ประเทศไทยหลังจัดตั้งรัฐบาลในปี 2566 คือประเทศที่ “ดีลลับ” ครอบงำประเทศอย่างเปิดเผย ส่วนใครใน “ดีลลับ”

ดีลอะไรก็เป็นเรื่องที่พูดกันสนั่นจนไม่มีอะไรลับมานานแล้ว คุณทักษิณ ชินวัตร และคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับบ้านโดยไม่ติดคุก ถูกมองเป็นส่วนหนึ่งของดีลนี้ และการทำให้ก้าวไกลไม่ได้เป็นรัฐบาลก็เป็นหนึ่งในดีลนี้ด้วยเช่นกัน

ถ้าเชื่อว่าดีลลับต้องการแค่ไม่ให้ก้าวไกลได้ตั้งรัฐบาลแม้ชนะเลือกตั้ง การที่คุณทักษิณกลับไทยวันเดียวกับที่พรรคของคุณประวิตร วงษ์สุวรรณ และคุณประยุทธ์โหวตคุณเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกฯ ก็ถือว่า “ดีลลับ” จบแล้ว แต่ถ้าเชื่อว่าดีลมีเป้าหมายเพื่อกำจัดคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล “ดีลลับ” ก็ยังไม่จบ และตัวละครทุกฝ่ายก็ต้องมีบทบาทต่อไป

ผู้สนับสนุนก้าวไกลจำนวนมากบอกว่าเลือกตั้งครั้งหน้ายังไงก็เลือกก้าวไกล แค่บอกว่าพรรคใหม่เบอร์อะไรก็จบ จิ๊กซอว์สำคัญใน “ดีลลับ” จึงได้แก่การแย่งชิงคะแนนนิยมจากพิธา, ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรคก้าวไกล หรือไม่อย่างนั้นก็ทำให้คะแนนนิยมถดถอยลงบนความเชื่อว่าคุณทักษิณและพรรคเพื่อไทยจะทำให้ภารกิจนี้สมบูรณ์

คุณทักษิณกลับไทยโดยคุณแพทองธาร ชินวัตร ประกาศว่าแก่จนคิดถึงลูกหลานขั้นจะไม่ยุ่งกับการเมืองอีก แต่ไม่มีสัญญาณทางการเมืองตรงไหนบอกว่าคุณทักษิณจะหยุดการเมืองอย่างที่พูด ขณะที่สัญญาณของการยุ่งการเมืองมีเยอะไปหมด เพราะการยุ่งการเมืองคืออำนาจต่อรองของคุณทักษิณที่จะทำให้ “ดีลลับ” จบอย่างครบถ้วนโดยคุณยิ่งลักษณ์ได้กลับไทย

ด้วยการเดินหน้ายุบพรรคก้าวไกลที่กำลังเกิดขึ้น ประเทศไทยวันนี้ได้เข้าสู่ความขัดแย้งใหม่ที่คู่ขัดแย้งไม่ใช่สีเหลืองสีแดง รวมทั้งไม่ใช่เพื่อไทยกับคนกลุ่มที่คุณทักษิณโจมตีว่า “อำมาตย์” แต่คือความขัดแย้งใหม่ของพันธมิตรใหม่ที่จะมีคุณทักษิณเป็นหัวหอกในการปฏิบัติภารกิจของ “ดีลลับ” ให้จบแบบบริบูรณ์

ยุบก้าวไกลคือการเมืองแบบไม่เห็นหัวประชาชนเฟส 2 ที่กำลังฉุดกระชากประเทศเข้าสู่ความขัดแย้งและการเผชิญหน้าครั้งใหม่ซึ่งทุกฝ่ายจะเสียหายอย่างฝังลึกมากกว่ายุคที่คุณทักษิณและเพื่อไทยเป็นจำเลย