ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 15 - 21 มีนาคม 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | ขอแสดงความนับถือ |
เผยแพร่ |
ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ แห่งคอลัมน์ ตุลวิภาคพจนกิจ ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับนี้
นำปาฐกถาพิเศษ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ครั้งที่ 19 เมื่อวันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา ที่ว่าด้วยเรื่องร้อนๆ และเรื้อรัง เกี่ยวกับปัญหาที่ดินในประเทศไทย มานำเสนอ
องค์ปาฐก คือศาสตราจารย์ ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร
ในฐานะหัวหน้าคณะวิจัยในโครงการวิจัย “ระบบกำกับดูแลที่ดินเพื่อการพัฒนา : ทางเลือกการใช้ที่ดินและนโยบายที่ดินใน 20 ปีข้างหน้า” ของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ
งานวิจัยนี้สำนักพิมพ์มติชน จัดพิมพ์เป็นเล่มแล้ว
ในชื่อเรื่อง Getting Land Right : ระบบกำกับดูแลที่ดินไทยต้องปฏิรูป (2566)
สิ่งที่ ดร.ผาสุก คณะผู้วิจัย พบเห็น และส่งเสียงเตือน (โดยที่เราได้ยินได้ฟังมานาน แต่แก้ไม่ได้เสียที)
นั่นคือ ที่ดิน เป็นปัญหามหึมาที่ครอบคลุมปริมณฑลของความขัดแย้งเอาไว้ทั้งหมด
ทั้งในทางการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ
พันลึกไปถึงกฎหมายไทยในเรื่องที่ดินและการจัดการที่ดิน
เป็นนาฏกรรมของรัฐไทยในยุคโลกาภิวัตน์ที่เราถูกบังคับให้ชมในหลายรูปแบบ
ล่าสุด คือกรณีปัญหาพิพาทจุดหมุดนิรนามสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) 4-01 ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
ที่มีการทับซ้อนกัน 3 หน่วยงาน ได้แก่ กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
แต่ละหน่วยงาน ยืนยันหนักแน่นว่า ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ของตัวเอง
ยืนยันว่าทำตามหลักกฎหมายทุกประการ
ถือเป็นเรื่องพิสดาร ที่ชาวบ้านยืนทำตาปริบๆ
เพราะเป็นศึกระหว่างหน่วยงานรัฐด้วยกันเองทั้งหมด
กล่าวถึงเรื่องพิพาท ที่นอกจากเรื่องพิสดารข้างต้นแล้ว
อาจารย์ผาสุกและทีมวิจัย พบว่า เฉพาะในช่วง พ.ศ.2557-2562
หน่วยงานรัฐฟ้องร้องประชาชนในศาลว่าบุกรุกที่ดินที่รัฐบาลนิยามว่าเป็น “ป่า” อยู่กว่า 50,000 คดี
ยังไม่รวมกรณีพิพาทระหว่างชาวบ้านด้วยกันเอง
ที่น่าตระหนกคือสิ่งที่เกิดขึ้นในความขัดแย้งเหล่านี้คือความรุนแรงด้วยกำลัง จนถึงการอุ้มหายแกนนำที่ต่อสู้เพื่อสิทธิ
ทั้งหมดนี้เป็นปรากฏการณ์ที่ใกล้เคียงกับนิยามของ “สงคราม”
สงครามที่มากด้วยความสับสน วุ่นวาย เหลื่อมล้ำและลักลั่น
เป็น “ความลักลั่น” ในที่ดิน 3 ประเภท คือ ที่ดินของรัฐ ที่ดิน “กึ่งรัฐ-กึ่งเอกชน” และที่ดินของเอกชน
โดยเฉพาะที่ดินของรัฐ ทั้งที่เป็นที่ดินของทางราชการ ป่าไม้ตามกฎหมาย ที่สงวนหวงห้ามของรัฐทุกประเภท ที่ราชพัสดุ ที่ดินทั้งหลายอันเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ฯ และที่ดินที่อยู่ในความดูแลรักษาหรือใช้ประโยชน์ของทางราชการส่วนท้องถิ่นและรัฐวิสาหกิจ
ที่มากด้วยปัญหา ไม่ชัดเจน
และแถมถูกนำไปแสวงหาประโยชน์ โดยที่ไม่ตกถึงมือชาวบ้าน
ที่ดินของรัฐดังกล่าวนี้อยู่ในความครอบครองของหน่วยราชการระดับกระทรวงอย่างน้อย 8 แห่ง
ระดับกรมและรัฐวิสาหกิจมากกว่า 20 แห่ง
และมีกฎหมายกำกับอย่างน้อย 16 ฉบับ
นี่เองที่เป็นอุปสรรคกีดขวางการพัฒานาอย่างเสรี ในเมื่อปัจจัยการผลิตสำคัญอย่างที่ดินตกอยู่ในกำมือหรือการกำกับควบคุมจัดการโดยรัฐและกลไกระบบราชการกว่าค่อนประเทศ
ยังไม่รวมนายทุนพ่อค้าต่างเข้ามาร่วมฉกฉวยผลประโยชน์นี้ด้วย
สังคมไทยจึงอยู่ในภาวะที่ “กาแฟดำ” บอกไว้ที่หน้า 69 คือ
เป็นสังคมที่ป่วย
โดยอาการป่วยสังคมไทยวันนี้ คือโรคซึมเศร้า+โรคตานขโมย
ข้อมูลแบงก์ชาติบอกว่าคนไทยมีเงินฝากในธนาคาร 110 ล้านบัญชี
และกว่าร้อยละ 90 มีเงินฝากเฉลี่ยเพียง 4,000 บาท
ที่น่าตกใจมากไปกว่านั้นคือสินทรัพย์ของคนไทยส่วนใหญ่เริ่มหลุดมือไปมากขึ้นเรื่อยๆ
เพราะเกษตรกรเป็นหนี้มากขึ้น
จึงต้องขายไร่นาเพื่อไปใช้หนี้บ้าง ขายที่เพื่อส่งลูกเรียนบ้าง
กลายเป็นที่ว่าที่ดินไปตกอยู่ในมือของคนจำนวนหนึ่งเท่านั้น
สถิติที่น่าตกใจบอกว่า คนไทย 20% ที่รวยที่สุดเป็นเจ้าของที่ดิน 80% ของทั้งประเทศ
คนจนที่สุด 20% เป็นเจ้าของที่ดินเพียง 0.25%
และดูเหมือนว่า ฝ่ายที่เป็นเจ้าของที่ดิน 80% ของทั้งประเทศ ก็ยังไม่พอ
ยังแอบแฝงเข้าไปหาประโยชน์และพยายามเข้าไปเป็นเจ้าของในที่ดิน ป่า และชายหาด
อย่างตะกรุมตะกราม •
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022