ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 15 - 21 มีนาคม 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | กาแฟดำ |
ผู้เขียน | สุทธิชัย หยุ่น |
เผยแพร่ |
กาแฟดำ | สุทธิชัย หยุ่น
อาการป่วยสังคมไทยวันนี้
: โรคซึมเศร้า+โรคตาลขโมย
ถ้าเราไม่ทบทวนยุทธศาสตร์และแผนพัฒนาประเทศอย่างจริงจัง ท้ายที่สุดเราก็อาจจะตกอยู่ในสภาพ
ยิ่งพัฒนา ยิ่งเหลื่อมล้ำ
ยิ่งพัฒนาก็ยิ่งล้าหลัง
กลายเป็นรัฐกึ่งล้มเหลว
ตกอยู่ในภาวะที่เรียกว่า Permacrisis
แปลตรงตัวคือ “วิกฤตถาวร”
หรือระยะเวลาอันยาวนานของความไม่มั่นคงและความไร้เสถียรภาพ (an extended period of instability and insecurity)
หรืออีกนัย ก็นิยามว่าเป็น “ช่วงระยะเวลาหนึ่งของความไม่มั่นคงและความไม่มั่นคงที่ยืดเยื้อ”
เป็นสภาวะหลังการระบาดใหญ่ของ Covid ท่ามกลางสงครามรัสเซีย-ยูเครน และในช่วงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจซึ่งส่งผลให้ต้นทุนทุกอย่างแพงขึ้น
กลายเป็น “วิกฤตของการดำรงชีวิตอยู่” ที่มีผลกระทบไปทั่วโลก
แต่สำหรับไทยแล้ว เราอาจจะก้าวเข้าสู่ภาวะ Permacrisis โดยไม่รู้ตัว
เพราะเราหลอกตัวเองว่าได้ก้าวพ้นความเป็นโลกที่สามแล้ว กำลังจะเป็นประเทศรายได้ปานกลางและน่าจะขยับขึ้นเป็นประเทศที่ร่ำรวยได้
แต่แล้วเราก็ติดอยู่กับ “กับดักรายได้ปานกลาง” มายาวนาน
จนถึงวันนี้ยังไม่รู้ว่าเราจะมีวิธีการหลุดออกจากบ่วงนี้ได้อย่างไร
เราอาจจะเห็นสถิติว่าคนส่วนใหญ่พ้นจากเส้นความยากจนแล้ว
แต่ความเป็นจริงที่มิอาจปฏิเสธได้คือสินทรัพย์หรือความมั่งคั่งของสังคมไทยมีลักษะ “กระจุกตัว”
ความรวยกระจุก ความจนกระจาย
ดูเหมือนจะดีขึ้น แต่ความจริงแย่ลง
รัฐบาลชุดนี้บอกว่าเราอยู่ใน “วิกฤต” มากว่าสิบปี แต่ถึงวันนี้ก็ยังมองไม่เห็นหนทางที่จะแหวกหนีจากภาวะตีบตันนั้นได้
เพราะแม้จะมีเงินแจกคนละหมื่นยื่นให้ 50 ล้านคนก็คงเป็นเพียงยาแก้ปวดชั่วคราวเท่านั้น
ตราบที่ยังไม่มีการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างยั่งยืนและถาวร
ข้อมูลแบงก์ชาติบอกว่าคนไทยมีเงินฝากในธนาคาร 110 ล้านบัญชี และกว่าร้อยละ 90 มีเงินฝากเฉลี่ยเพียง 4,000 บาท
ที่น่าตกใจมากไปกว่านั้นคือสินทรัพย์ของคนไทยส่วนใหญ่เริ่มหลุดมือไปมากขึ้นเรื่อยๆ
เพราะเกษตรกรเป็นหนี้มากขึ้น จึงต้องขายไร่นาเพื่อไปใช้หนี้บ้าง ขายที่เพื่อส่งลูกเรียนบ้าง
กลายเป็นที่ว่าที่ดินไปตกอยู่ในมือของคนจำนวนหนึ่งเท่านั้น
สถิติที่น่าตกใจบอกว่า คนไทย 20% ที่รวยที่สุดเป็นเจ้าของที่ดิน 80% ของทั้งประเทศ
คนจนที่สุด 20% เป็นเจ้าของที่ดินเพียง 0.25%
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล บอกว่า เศรษฐกิจไทยวันนี้เป็น “โรคซึมเศร้า” เรื้อรัง
ไร้ชีวิตชีวา ไร้ความกระตือรือร้น และไร้ความหวัง
เท่านั้นไม่พอ วันนี้สังคมไทยยังมีโรคมาซ้ำเติมอีกโรคคือ “โรคตาลขโมย”
หัวโต พุงป่อง แขนขาลีบ
ทั้งตัวก็โตไปมากกว่านี้ไม่ได้
มิหนำซ้ำยังขยายตัวเฉพาะจุด นั่นคือมาโตอยู่ที่กรุงเทพฯ, อีอีซี และหัวเมืองหลักไม่กี่แห่งเช่นเชียงใหม่, ภูเก็ตเป็นหลัก
แต่ส่วนอื่นๆ ที่เหลือของประเทศโดยเฉพาะในชุมชนมีความอ่อนแอ, ปวกเปียก
ในชุมชนเหลือแต่ผู้สูงอายุและเด็ก
หนุ่มสาวมาหางานในโรงงานนอกชุมชนเดิมของตน พอมีลูกก็ส่งกลับไปหาตายายเลี้ยง
ผลก็คือเด็กไทยก็เติบโตมาโดยไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม
ชุมชนหลายแห่งก็ยากจนลง เป็นหนี้ และก็สูญเสียที่ดินของตนไป
ภาพที่เห็นคือยิ่งพัฒนา ประเทศก็ยิ่งอ่อนแอ
นั่นคือสภาวะอันตราย
ภาพที่เห็นในเมืองใหญ่คือการก่อสร้างที่ทันสมัย
ดร.กอบศักดิ์ที่ทำเรื่องการพัฒนาชนบทมายาวนานยอมรับว่า “สิ่งที่น่ากลัวคือยิ่งเราพัฒนา ประเทศเรายิ่งอ่อนแอลงเรื่อยๆ”
แม้ในเมืองหลวงเอง 30% ของประชากรอยู่ในแหล่งเสื่อมโทรม
และมีปัญหาในการดำรงชีพ
เอาเข้าจริงๆ ถ้าเรากล้าเผชิญกับความเป็นจริง ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยมีอยู่ทุกที่…เราจะมองมันให้ลึกหรือเปล่า
และใช่ว่าจะไม่ได้ใช้งบประมาณเพื่อเป้าหมายลดความเหลื่อมล้ำ
ตัวเลขในงบประมาณปี 2566 นี้มีกิจกรรมยุทธศาสตร์ “สร้างความเสมอภาค, ลดความเหลื่อมล้ำ” จัดสรรไว้กว่า 7 แสนล้านบาท
รัฐบาลเชื่อว่าเงินก้อนใหญ่นี้คือการโอนเงินให้คนจน
ในรูปของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ, เบี้ยคนชรา เป็นต้น
นักการเมืองคิดว่านี่คือคำตอบ
แต่ความจริงไม่ใช่
เพราะความเหลื่อมล้ำที่เป็นปัญหานั้นคือคนสองกลุ่มที่วิ่งได้ไม่เท่ากัน
เหมือนวิ่งมาราธอน
หากวิ่งเกาะกลุ่มกัน ความเหลื่อมล้ำอาจจะลดลง
แต่เมื่อวิ่งไป คนกลุ่มต่างๆ ก็ยิ่งวิ่งออกห่างจากกัน ช่องว่างระหว่างกลุ่มคนต่างๆ ก็ยิ่งห่างออกไปอีก
รัฐบาลมักคิดว่าการช่วยคนจนก็คือการช่วย “พอให้เขายืนขึ้นมาได้”
ทั้งๆ ที่ความจริงต้อง “ช่วยให้เขาวิ่งได้”
หากคิดว่าการเอาเงินคนรวยมาแจกคนจนคือการช่วยเหลือคนด้อยโอกาสแล้ว ก็เป็นการมองผิดความเป็นจริง
เพราะคนกลุ่มหนึ่งวิ่งได้อย่างเต็มพิกัด
แต่อีกหลายกลุ่ม (ซึ่งเป็นส่วนใหญ่) กลับยังเดินไม่ได้ด้วยซ้ำ
“รัฐบาลคิดว่าแจกเงินแล้วจบ แต่ความจริงมันไม่จบเพราะว่ามันคือความต่างของความสามารถก้าวไปข้างหน้าของคนสองกลุ่ม…” ดร.กอบศักดิ์บอก
แต่รัฐบาลคิดว่าใช้งบประมาณมากมาย ปีละไม่น้อยกว่า 7 แสนล้านแล้วก็น่าจะต้องถือว่าได้ทุ่มเทเต็มกำลังแล้ว
“ผมว่ารัฐบาลขาดความเข้าใจเรื่องตลาด” ดร.กอบศักดิ์ซึ่งเคยทำงานทั้งเป็นรัฐมนตรีและคุ้นเคยกับเอกชนบอก
ชุมชนและผู้มีรายได้น้อยจะสามารถเดินไปข้างหน้าได้อย่างเข้มแข็งโดยไม่ถูกทิ้งเอาไว้ข้างหลังนั้นจะต้องวิ่งให้ทัน
เพียงแค่รับเงินที่รัฐบาลแจกมานั้นไม่สามารถทำให้ชาวบ้านวิ่งได้ เพราะก็ยังต้องพึ่งพารัฐบาลอยู่
“การจะวิ่งได้ รัฐบาลต้องช่วยให้ชาวบ้านเข้าถึงตลาดเพราะนั่นคือรายได้หลัก”
รัฐบาลบอกว่าจะต้องสอนให้ชาวบ้านตกปลา
“แต่คนสอนเองก็ไม่เคยตกปลาเลย…ตกปลาไม่เป็น!” ดร.กอบศักดิ์พูดแล้วพลางหัวเราะร่วน
ข้าราชการไปบอกชาวบ้านว่า “คุณป้าคุณลุงต้องทำ logistics ต้องทำ packaging ต้องทำ e-commerce”
แต่คนสอนไม่เคยทำ ไม่มีประสบการณ์ ไม่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวเรื่องการผลิตและการขายของมาก่อน
ลงท้ายก็เท่ากับเตี้ยอุ้มค่อมเท่านั้น
สําหรับคนที่เข้าไปทำงานในรัฐบาลกว่า 6 ปี ดร.กอบศักดิ์ได้บทเรียนที่ลุ่มลึกหลายประการ
“ตอนนี้ ผมอายุมากพอที่จะพูดอะไรตรงไปตรงมาแล้ว ไม่ต้องเกรงใจใครแล้ว” ดร.กอบศักดิ์บอกผม
ผมยืนยันว่าเมื่อคนเราถึงอายุวัยที่อาวุโสระดับหนึ่ง และไม่ต้องเป็นหนี้บุญคุณนักการเมืองคนใดก็ต้องพูดความจริงที่ประสบมา
อย่างน้อยก็จะได้ไม่รู้สึกเสียใจก่อนจะจากโลกนี้ไปว่า “ไม่เสียชาติเกิด” ได้อย่างเต็มปาก
รัฐบาลสอนให้ชาวบ้านผลิตสินค้าต่างๆ โดยเชื่อว่าจะช่วยสร้างรายได้
แต่ไม่ได้คุณภาพที่ตลาดต้องการ
“ตอนทำก็สนุกสนาน ออกข่าวกันคึกคัก แต่เมื่อไม่เป็นที่ต้องการของตลาดก็กองกันอยู่ตรงนั้น”
นั่นคือคำอธิบายว่าทำไมใช้เงินตั้งเยอะ แต่ไม่ลดความเหลื่อมล้ำ
แต่เมื่อเกิดนิสัยต้องแจกเงิน ก็กลับมาใช้วิธีแจกเงินต่อไป
ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันไม่ได้แก้ปัญหาตรงจุดแต่อย่างไร
ท้ายที่สุด ทางออกคือจะต้องให้เอกชนต้องเข้ามามีบทบาทอย่างมีนัยสำคัญ
เพราะการแจกเงินของรัฐบาลไม่สามารถทำให้ชาวบ้านขายสินค้าเข้าตลาดได้
ทำไมเอกชนต้องช่วย
“คำตอบคือถ้าเอกชนไม่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำของสังคม อีกหน่อยเอกชนไม่ว่าจะร่ำรวยแค่ไหนก็อยู่ไม่ได้ เพราะเอกชนจะนั่งอยู่ส่วนบนของพีระมิดขณะที่คนส่วนใหญ่ของประเทศยังลำบาก และจะลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ…”
สังคมใดที่มีความเหลื่อมล้ำมากขึ้นตลอดเวลา สังคมนั้นก็จะเกิดความแตกแยก และสังคมก็จะปั่นป่วน ความรุนแรงก็จะตามมา และธุรกิจเองก็อยู่ไม่ได้
สังคมก็จะมีอันล่มสลาย
นี่คือคำอธิบายที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมที่สุด
ส่วนเอกชนจะช่วยอย่างไร รัฐจะต้องแก้กฎกติกาให้คล่องตัวขึ้นอย่างไร ใครในสังคมต้องทำอะไรบ้าง เป็นอีกหัวข้อใหญ่ที่ต้องระดมความคิดความอ่านกันครั้งใหญ่กันเลยทีเดียว!
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022