33 ปี ชีวิตสีกากี (63) | การถูกตั้งกรรมการสอบวินัย ตั้งแต่เข้าเวรเดี่ยวครั้งแรก

พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์

เมื่อผมสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ผมตัดสินใจเลือกตำแหน่ง รองสารวัตรสืบสวนสอบสวน สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง ด้วยเหตุผลง่ายๆ ในขณะนั้น ดังนี้

1. ผมเชื่อว่า จังหวัดระนอง เป็นจังหวัดเล็กๆ งานคงจะไม่มาก ตั้งใจจะอ่านหนังสือเพื่อเรียนต่อในระดับสูงขึ้นไป เมื่อผมมีรายได้มากพอ และคงจะไปอยู่ไม่นาน ซึ่งเป็นความฝันที่จะทำขั้นต่อไป

2. ในชีวิตผมยังไม่เคยเดินทางไปภาคใต้เลย อยากไปเห็นและอยากสัมผัสว่าเป็นอย่างไร ทั้งๆ ที่เวลานั้นผมประทับใจบรรยากาศของภาคเหนือมากก็ตาม

ด้วยเหตุผล 2 ข้อนี้ ผมจึงเลือกจังหวัดเล็กๆ ในภาคใต้ เป็นที่ทำงานแห่งแรก

 

เมื่อผมและเพื่อนๆ ทุกคนหลังจากสำเร็จการศึกษาพร้อมกัน ต่างแยกย้ายไปยังสถานที่ที่แต่ละคนได้เลือกเอาไว้ พวกเราไม่ทราบว่าชีวิตต่อจากนี้อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง

เพื่อนบางคนก็กลับมาร่วมทำงานที่เดียวกัน

เพื่อนบางคนก็แยกย้ายไปไกล จนไม่ได้พบเจอกันเลย

และเพื่อนบางคนก็มาด่วนเสียชีวิตจากไป ทั้งจากถูกคนร้ายและจากอุบัติเหตุ หรือโรคภัยต่างๆ เพื่อนบางคนรับราชการก้าวหน้าก็กลับมาเป็นผู้บังคับบัญชา หรือบางครั้งผมมีเพื่อนร่วมรุ่นเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ทุกอย่างเกิดขึ้นโดยไม่มีใครล่วงรู้มาก่อน

และความฝันของผมที่จะได้ย้ายกลับมาทำงานในภูมิลำเนาถิ่นฐานบ้านเกิด ก็ไม่เคยเกิดขึ้นเลยตลอดช่วงชีวิตการรับราชการของผม

ต้นทุนในการเริ่มรับราชการตำรวจครั้งแรกของผมมีเพียงความรู้ที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาจากครูบาอาจารย์โรงเรียนนายร้อยตำรวจ จากโรงเรียนมัธยม จากโรงเรียนประถม จากพ่อแม่พี่น้องของผมเท่านั้นเอง รวมทั้งกำลังใจสนับสนุนจากครอบครัว

อุปกรณ์ที่เริ่มใช้ทำงาน คือ พิมพ์ดีด 1 เครื่อง อาวุธปืน 1 กระบอก ที่ซื้อไว้เมื่อใกล้จะจบจากสามพราน และวิทยุยี่ห้อไอคอม 1 เครื่อง ที่ซื้อไว้เพื่อนำมาใช้ในงานตำรวจ เพราะงบประมาณของกรมตำรวจขาดแคลน และในครอบครัวผมไม่เคยมีใครรับราชการมาก่อนเลย

อีกทั้งยังไม่ทราบว่า จะต้องไปเจอเหตุการณ์ต่างๆ มากมายที่มีทั้งดีทั้งเลวร้ายตลอดระยะเวลาการรับราชการที่ยาวนาน เมื่อสรุปสั้นๆ ให้กระชับ จะได้ในทำนองนี้

 

1.ผมถูกตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัย ตั้งแต่ผมเข้าเวรเดี่ยวครั้งแรก จนไม่สามารถขอเหรียญจักรมาลาได้ เมื่อรับราชการครบ 15 ปี หรือเหรียญจักรพรรดิมาลา เมื่อรับราชการครบ 25 ปี

ด้วยเหตุผลว่าเพราะมีมลทิน จากเหตุโทษภาคทัณฑ์ที่ผู้ต้องขังหลบหนีออกจากห้องขัง ทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของผม แต่เป็นเพราะระเบียบบังคับให้นายร้อยเวรสอบสวนคดีอาญา คือผมต้องเป็นผู้รับผิดชอบ

เรื่องดีๆ เด่นๆ พลาดตลอด เรื่องแย่ๆ ไม่เคยพลาด

และยังถูกตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยอีกหลายครั้ง เป็นเรื่องที่ลูกน้องทำสำนวนการสอบสวนล่าช้า หรือลูกน้องทำผิดพลาด

2. ชีวิตการเป็นพนักงานสอบสวนของผม เปรียบเสมือนการเป็นสัปเหร่อ ที่ต้องคอยตามเก็บศพผู้เสียชีวิต ค้นหาศพทั้งบนบกและในทะเล ทั้งในเคหสถานบ้านเรือนและในป่าเขา

และทำงานท่ามกลางสิ่งที่ขาดแคลนมากมาย ในสมัยนั้น ไม่ว่าต้องใช้เงินส่วนตัวเป็นค่าใช้จ่ายในการทำสำนวนการสอบสวน เช่น ค่ากระดาษ จัดหากล้องถ่ายรูปเอง ซื้อฟิล์มถ่ายรูปเอง หรือเมื่อถ่ายเสร็จต้องไปร้านเพื่อล้างฟิล์มถ่ายรูป แล้วนำรูปมาติดประกอบสำนวนการสอบสวน

จนแม้กระทั่งผมต้องใช้รถยนต์กระบะส่วนตัวมาเป็นรถร้อยเวร เมื่อเข้าเวรสอบสวน เพราะรถหลวงเสียไม่มีรถมาทดแทน จึงต้องใช้รถส่วนตัวบรรทุกศพ หรือคนเจ็บส่งโรงพยาบาล

หลายครั้งใช้เงินส่วนตัวเติมน้ำมันเพื่อให้งานสำเร็จลุล่วง

3. ผมได้พบความสยดสยองในการไปตรวจที่เกิดเหตุ ในภาพยนตร์จะบู๊เลือดท่วมจอ แต่ของจริงที่ผมเจอมันจะเลือดท่วมห้อง และเลือดสาดกระเซ็นเต็มฝาผนังห้อง สภาพศพที่พบเห็นนั้น แสดงถึงความโหดอำมหิตของจิตมนุษย์

หรือแม้แต่คดีอุบัติเหตุ ผมเคยตามเก็บชิ้นส่วนอวัยวะของมนุษย์ที่ถูกสิบล้อบดขยี้จนกระเด็นกระจาย และต้องตามเก็บเพื่อใส่ถุงคืนให้กับญาติ

ชีวิตตำรวจตามโรงพักจึงวนเวียนกับการสูญเสียชีวิตของผู้คนในสังคม และพบแต่ความหดหู่ ความรันทด ทุกขเวทนา ปรากฏให้เห็นจนเป็นเรื่องปกติ ทั้งที่มันไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น

4. ผมได้เห็นการต่อสู้ช่วงชิงตำแหน่งหน้าที่การงานอย่างถึงพริกถึงขิง ทุกรูปแบบ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ทั้งนี้ เพื่ออำนาจและเงินตราทรัพย์สินเงินทอง การนับหน้าถือตา เป็นกิเลสหนาที่เห็นได้ทั่วไปในสังคมที่ผมไปทำงาน มีทั้งการโกงกันซึ่งหน้า หรือใช้วิธีการที่แยบยล

และที่สุดก็ย้อนมาทำลายสังคมส่วนรวมและประเทศชาติที่ทุกคนแหกปากว่ารักชาติ ค่อยๆ ซึมกระจายไปทีละนิด

5. ผมได้เห็นการแต่งตั้งและโยกย้ายตำแหน่งตำรวจที่มีแต่ความอัปยศและเห็นความเลวของผู้มีอำนาจ นำมาใช้ในการซื้อขายตำแหน่งอย่างเมามัน ครั้งแล้วครั้งเล่า คำสั่งแล้วคำสั่งเล่า ปีแล้วปีเล่า ค่อยๆ ทำลายองค์กรของตนเองไปอย่างช้าๆ แต่ซึมลึกและยากต่อการแก้ไข

ไม่มีใครถูกลงโทษ ซ้ำยังหน้าด้านมีหน้าตาในสังคม

 

6.ผมได้เห็นนักการเมืองที่เล่นการเมืองด้วยวิธีที่สกปรก โกหกและทำตรงข้ามกับสิ่งที่บอกกับประชาชน ทั้งเอาเปรียบอวดอ้างความดี พูดจาหว่านล้อมแล้วเอาข้าราชการมาเป็นเครื่องมือ เช่น ส.ส.เอาใบสั่งจราจรมาให้ ผกก.สภ. เซ็นว่ากล่าวตักเตือนเป็นปึกๆ แทบจะทุกวัน

7. ผมได้เห็นความเน่าเฟะของระบบราชการไทย การทุจริตคอร์รัปชั่น การเล่นพรรคเล่นพวก แตะที่ไหนก็เน่าที่นั่น แทบจะไม่เคยสัมผัสองค์กรที่โปร่งใส เป็นได้ก็แค่องค์กรทิพย์ เพียงแต่ที่ไหนจะถึงคิวโผล่ความเน่าเฟะออกมาให้สาธารณะได้เห็นเท่านั้น

เมื่อผมเข้าไปสืบสวนสอบสวนหลายคดีที่เกิดขึ้นพัวพันในส่วนราชการต่างๆ จึงได้เห็นและพบหลักฐานด้วยตัวเอง ทั้งกรมทางหลวง กรมการขนส่งทางบก ฝ่ายปกครอง ตำรวจ ทหาร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรมที่ดิน กรมเจ้าท่า มากมายจาระไนไม่หวาดไม่ไหว ไม่เว้นแม้แต่ผู้พิพากษา อัยการ

8. ผมจับกุมนายกเทศมนตรีที่จังหวัดภูเก็ตดำเนินคดีทางกฎหมาย ถึง 4 คน แต่ละคนล้วนเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประชาชน การสอบสวนอย่างตรงไปตรงมานั้นยากลำบาก ไม่ง่าย ถูกสกัดขัดขวาง ผู้ใหญ่ในสังคมมีแต่อยากช่วยคนทำผิด ทำได้แม้กระทั่งขายสำนวนการสอบสวนให้ผู้ต้องหา

9. ผมเจอเหตุการณ์การสูญเสียมากมายทั้งชีวิตผู้คนและทรัพย์สินในเหตุการณ์สึนามิ เมื่อ 26 ธันวาคม พ.ศ.2547 หรือกรณีเครื่องบินตกที่สนามบินภูเก็ต หรือกรณีอื่นๆ ได้ซึมซับความเศร้าโศกเสียใจ น้ำตาที่ไหลริน ที่ไม่เหือดแห้ง การจากลา เห็นความพลัดพราก การค้นหา ความหวังและความสิ้นหวังของผู้คน

10. ผมได้สอบสวนคดีที่ผู้ต้องหาเป็นมือปืนรับจ้าง มีอาชีพยิงคน วิธียิงเหยื่อที่ใช้ความนิ่ง สะกดรอย หรือเดินเข้าไปกอดคอเหยื่อเฉยๆ แล้วเอาปืนจ่อที่ขมับ ลั่นไก จากนั้นก็เดินออกไปเงียบๆ อย่างเลือดเย็น ง่ายๆ ก็ได้เงิน แต่มีคนจ้าง ซึ่งคนจ้างมีทั้งอำนาจและเงิน สอบสวนผู้ต้องหาที่มีจิตใจอำมหิต เยือกเย็น จนไปถึงสอบสวนผู้ต้องหาคดีลักทรัพย์เล็กๆ น้อยๆ หรือทำเป็นขบวนการเป็นแก๊งใหญ่โต เอาทรัพย์ของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง ทำเป็นอาชีพ จนผมกับทีมงานติดตามยึดรถยนต์ที่ถูกลักไปคืนเจ้าของได้ถึง 33 คัน

สุดท้ายมีทนายของแผ่นดินเป็นตัวช่วยคนทำผิดเสียอย่างนั้น