ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 8 - 14 มีนาคม 2567 |
---|---|
ผู้เขียน | คอลัมน์ สาระนิยาย Psy ฟุ้ง |
เผยแพร่ |
เหมือนกับผลการเลือกตั้งเมื่อเดือนธันวาคม 2550 จะเป็นชัยชนะ เหมือนกับการเดินทางกลับมากราบแผ่นดินในเดือนกุมภาพันธ์ 2551 จะเป็นบำเหน็จรางวัล
แต่การมาก็มีแรงเสียดทานตลอดสองรายทาง
เป็นแรงเสียดทานจากกลไกแห่งอำนาจอันเป็นผลผลิตแห่งรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549
นั่นก็คือ การเดินหน้าต่อของ “คตส.”
นั่นก็คือ การแสดงออกในเชิงเป็น “ปฏิปักษ์” อย่างเด่นชัดจากกลไกในทางรัฐสภา ไม่ว่าจะเป็น “วุฒิสภา” ไม่ว่าจะเป็นใน “สภาผู้แทนราษฎร”
นั่นก็คือ การก่อหวอดขึ้นอีกครั้งของ “ภาคประชาชน”
การรุกไล่แต่ละองคาพยพแห่งกลไกอำนาจอันมีพื้นฐานมาจากการเลือกตั้งจึงได้ปรากฏและเผยแสดงออกมาอย่างเป็นรูปธรรม
เป็นไปตามกลยุทธ์ กินทีละคำ เด็ดทีละหัว
ไม่ว่าจะเป็น นายยงยุทธ ติยะไพรัช เพื่อให้หลุดไปจากประธานสภาผู้แทนราษฎรอันถือเป็นประมุขแห่ง “อำนาจนิติบัญญัติ”
ไม่ว่าจะเป็นการรุกคืบเข้าไปเพื่อจัดการ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี
การจัดการกับ นายยงยุทธ ติยะไพรัช อาจสามารถเลือก นายชัย ชิดชอบ เข้าไปแทนที่
เพราะยังกุมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรอยู่
การจัดการกับ นายสมัคร สุนทรเวช ต่างหากน่าสนใจ น่าศึกษา
น่าสนใจที่ในเบื้องต้นอาจเสมอเพียงกลยุทธสกัดขัดขวางแสดงให้เห็นว่าแต่ละก้าวย่างจะเต็มไปด้วยอุปสรรค
ไม่อาจเดินหน้าไปได้โดยราบรื่น
เพียงขยับเข้าไปเพื่อจะแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 อันถือว่าเป็นมรดกจากการรัฐประหารก็ต้องเผชิญกับปราการที่จัดขึ้นโดยพรรคฝ่ายค้าน นั่นก็คือ พรรคประชาธิปัตย์เจ้าเก่า
จากนั้นก็ตามด้วยเสียงคำรามจาก “วุฒิสภา”
จากนั้น บรรดาพันธมิตรที่เคยปูทางและสร้างเงื่อนไขให้กับรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 ซึ่งก็คือพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ออกโรง
เตือนให้ นายสมัคร สุนทรเวช รับรู้ว่าไม่ง่าย
แม้ นายสมัคร สุนทรเวช จะเป็นทั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยมีขุนพลระดับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง นั่งอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
กระนั้น ก็ไม่ก่อให้เกิดความพรั่นพรึงแม้แต่น้อย
ขณะเดียวกัน ทางด้านกองทัพอันมี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก เป็นหัวหอกใหญ่ก็เลือกแต่ละจังหวะได้อย่างเหมาะสมด้วยการออกมาสำแดงพลัง
ทุกอย่างยังผนึกพลังกันอย่างเหนียวแน่นไม่ว่าทางด้านการเมือง ไม่ว่าทางด้านภาคประชาชน ไม่ว่าทางด้านความมั่นคง
ขณะที่พลานุภาพแห่ง “ตุลาการภิวัฒน์” ก็ยังเป็น “ฝันร้าย” คอยหลอกหลอน
การเคลื่อนไหวของ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ดำเนินไปอย่างมีจังหวะ อาศัย “ทัศนคติอันตราย” ของ นายจักรภพ เพ็ญแข เป็นตัวจุดเชื้อ
เมื่อ นายสมัคร สุนทรเวช แตะ “รัฐธรรมนูญ” ก็เป็นเงื่อนไขอันงาม
ต่อเมื่อ นายนพดล ปัทมะ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไปเจรจากับกัมพูชาในเรื่องอันเกี่ยวกับ “เขาพระวิหาร” เท่ากับเป็นการสาดน้ำมันเข้าไปในกองเพลิง
ในเบื้องต้น เดือนพฤษภาคมเริ่มชุมนุมที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ ถนนราชดำเนินนอก
จากนั้นเดือนมิถุนายน ค่อยๆ ใช้ยุทธวิธี “ดาวกระจาย” โดยเดินทางไปชุมนุมย่อยตามสถานที่ต่างๆ วันที่ 5 มิถุนายน ไปสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อยื่นหนังสือทวงถามความคืบหน้าการสั่งฟ้องที่ คตส.สรุปสำนวนชี้มูลความคิด นายทักษิณ ชินวัตร กับพวก
จากนั้นเดินทางไปกระทรวงมหาดไทยเพื่อประท้วง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง โดยนำเป็ดเทศ 2 ตัวไปปล่อยที่หน้ากระทรวง เป็นสัญลักษณ์ว่าเป็นการปล่อย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่ทำงานเหมือนเป็ด
วันที่ 3 มิถุนายน 2551 เดินทางไปชุมนุมหน้าสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สอบถามความคืบหน้าในคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นเอส.ซี.แอสเส็ท จำกัด (มหาชน)
อีกกลุ่มหนึ่งไปกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กดดันให้รีบดำเนินการปฏิบัติหน้าที่ตามบทบาทหน้าที่ ตามหลักยุติธรรมอย่างเคร่งครัดในคดีสำคัญที่เกี่ยวข้องกับ นายทักษิณ ชินวัตร
กลุ่มที่สามไปยัง ป.ป.ช. และทำเช่นนี้ติดต่อกันหลายวัน หลายกลุ่ม
การเคลื่อนไหวยิ่งเข้มข้น คึกคัก บรรยากาศแทบไม่แตกต่างไปจากที่เคยปรากฏในห้วงก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549
ท่ามกลางการตกเป็น “เป้านิ่ง” ของรัฐบาล
ความคึกคักเห็นได้จากปริมาณการเข้าร่วมของประชาชนทะยานไปสู่หลักหมื่นและยืนระยะนี้อย่างมั่นคง
จากที่เปิดกลยุทธ์ “ดาวกระจาย” กลายเป็น “ยุทธการสงคราม 9 ทัพ”
แยกกลุ่มกันเดินขบวนตีฝ่าแนวกั้นของตำรวจจากสะพานมัฆวานรังสรรค์เข้าไปปักหลักตั้งเวทีปราศรัยบริเวณถนนพิษณุโลกประชิดกับทำเนียบรัฐบาลในวันที่ 20 มิถุนายน
โดยมีการปะทะกับกำลังตำรวจที่พยายามสกัดขัดขวาง
จุดตัดอย่างมีนัยสำคัญเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน ครูโรงเรียนราชวินิตมัธยมร่วมกันยื่นฟ้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต่อศาลแพ่งให้มีคำสั่งรื้อถอนเวทีเนื่องจากปิดเส้นทางครูและนักเรียน และส่งเสียงรบกวนการเรียนการสอน
ทั้งยังยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉินเพื่อมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยออกจากพื้นที่
ศาลแพ่งมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้เปิดเส้นทางการสัญจรถนนพระราม 5 และถนนพิษณุโลกเพื่อให้รถโดยสารประจำทางเดินได้ตามปกติ ทั้งให้งดใช้เครื่องกระจายเสียงตั้งแต่เวลา 07.30-16.30 น. ในวันจันทร์ถึงวันจันทร์-วันศุกร์ เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและนักเรียนโรงเรียนราชวินิตมัธยม
วันที่ 1 มิถุนายน พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยื่นคำร้องขอไต่สวนฉุกเฉินเพื่อให้ยกเลิกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว
เมื่อศาลยกคำร้องพันธมิตรฯ ก็ย้อนกลับไปชุมนุมที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ดังเดิม
จากนี้จึงเห็นได้ว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยวางเป้าหมายอย่างแท้จริงอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อไม่สามารถเข้ายึดครองได้ก็ยินยอมถอย
เด่นชัดว่าเป็นการถอยเพื่อที่จะรุกเมื่อมีความพร้อม
กล่าวสำหรับการรุกในด้านตุลาการภิวัฒน์ยิ่งดำเนินไปด้วยความเข้มข้นเป้าหมายอยู่ที่ครอบครัวของ นายทักษิณ ชินวัตร ไม่แปรเปลี่ยน
เห็นได้จาก คตส.ทำหนังสือแจ้งธนาคารแห่งประเทศไทยให้อายัดทรัพย์สิน
เนื่องจากคดีกำลังอยู่ในกระบวนการยุติธรรมที่เตรียมจะขออำนาจศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในการสั่งริบทรัพย์จำนวน 6.5 หมื่นล้านบาทของครอบครัว นายทักษิณ ชินวัตร
ขณะเดียวกัน ฝ่ายค้านที่นำโดยพรรคประชาธิปัตย์ก็ได้ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล
ประกอบด้วย นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
เป็นยุทธการกระหน่ำ “รัฐมนตรี” โดยโยงไปยัง “ตระกูลชินวัตร”
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022