แสงสว่างจากดาวเคราะห์

สมชัย ศรีสุทธิยากร

บทความพิเศษ | สมชัย ศรีสุทธิยากร

 

แสงสว่างจากดาวเคราะห์

 

งานแสดงวิสัยทัศน์ “Ignite Thailand จุดพลัง รวมใจ ไทยต้องเป็นหนึ่ง” เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2567 เป็นเหมือนการสร้างแสง จุดประกาย จุดให้ติดไฟ (Ignite) ให้กับนายกรัฐมนตรีชื่อเศรษฐา ทวีสิน โดยการใช้เป็นเวทีประกาศวิสัยทัศน์ประเทศไทย 8 ด้าน ให้แก่ผู้เข้าร่วมประชุมที่ประกอบด้วยรัฐมนตรีจำนวนหนึ่ง และหัวหน้าส่วนราชการต่างๆ อีกหลายร้อยคนที่นั่งแออัดอยู่ในห้องประชุมตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล

แม้เนื้อหาจะน่าสนใจ แม้จะมีการถ่ายทอดสดผ่านสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT) และสื่อออนไลน์เอกชนอีกหลายช่อง มีการนำเสนอข่าวรายละเอียดต่างๆ ไม่น้อย

แต่ความสนใจของประชาชนและการตอบสนองของส่วนราชการต่างๆ ยังอ่อนแรง ไม่เท่ากับข่าวอื่นๆ ที่ประชาชนให้ความสนใจมากกว่า

เช่น ข่าวสมเด็จฮุน เซน ประธานคณะองคมนตรีประเทศกัมพูชา เข้าพบอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2567

ข่าวความขัดแย้งของตำรวจระดับสูง และมีการแถลงข่าวของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในบ่ายวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2567

Ignite Thailand ที่หวังจะเป็นการจุดประกายไฟให้กับรัฐบาลชุดปัจจุบัน และสร้างแสงในตัวให้กับนายเศรษฐา ทวีสิน จึงกลับกลายเป็นเพียงเทียนเล่มน้อยท่ามกลางแสงสว่างในเวลากลางวันที่หมดความหมาย

 

เนื้อหา

ประเด็นการแสดงวิสัยทัศน์ เพื่อมุ่งพัฒนาประเทศไทยให้กลายเป็นศูนย์กลางเมืองอุตสาหกรรมระดับโลก (Hub) ทั้ง 8 ด้าน คือ

1) Tourist Hub ศูนย์กลางเมืองท่องเที่ยว

2) Medical Hub ศูนย์กลางด้านการแพทย์และการรักษาพยาบาล

3) Food Hub ศูนย์กลางอาหาร

4) Aviation Hub ศูนย์กลางการบิน

5) Logistic Hub ศูนย์กลางขนส่งแห่งภูมิภาค

6) Future Mobility Hub ศูนย์กลางผลิตยานยนต์แห่งอนาคต

7) Digital Economy Hub ศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัล

และ 8) Financial Hub ศูนย์กลางทางการเงิน

ถือว่าเป็นเนื้อหาที่น่าสนใจไม่ใช่น้อย เพราะเป็นสิ่งที่เราไม่เคยได้ยินในช่วง 9 ปีของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

แต่หากมองย้อนไปถึงรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีในช่วงปี พ.ศ.2544-2549 หรือประมาณ 20 ปีที่แล้ว คำเหล่านี้ถูกนำมาใช้เป็นยุทธศาสตร์ของประเทศ ไม่ว่าจะผลักดันให้ไทยกลายเป็นครัวของโลก (Kitchen of the world) ให้ไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งของภูมิภาค (Transportation Hub) ให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ของเอเชีย (Detroit of Asia) เป็นศูนย์กลางการรักษาพยาบาล (Medical Hub) เป็นศูนย์กลางการผลิตอาหารฮาลาล (Halal Food Hub) หรือผลักดันให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองแฟชั่น (City of Fashion)

โครงเรื่องหลักจึงแทบไม่มีอะไรแตกต่างจากสิ่งที่เคยได้ยินเมื่อ 20 ปีที่แล้ว แม้ว่าจะมีรายละเอียดใหม่ที่แทรกไปกับการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เช่น การกล่าวถึงเงินดิจิทัล การใช้ Cloud Computing การซื้อขาย Carbon Credit ของเกษตรกรไทย การออก Free Visa ให้กับนักท่องเที่ยว เป็นต้น

น่าแปลกที่พลังในการนำเสนอกลับไม่เหมือนในสมัยที่พรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลและมีนายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ที่เมื่อพูดแล้วดูมีพลังในการขับเคลื่อนลงไปยังส่วนราชการต่างๆ ที่ทำให้เห็นทิศทางของประเทศที่ต้องช่วยกันผลักดันสู่ความสำเร็จ

 

จังหวะเวลา

เมื่อมองจากเนื้อหาการนำเสนอวิสัยทัศน์ Ignite Thailand จะเห็นว่าต้องมีการเตรียมการมานานเพื่อให้ครอบคลุมเนื้อหาที่ต้องการสื่อสารเพื่อให้นายกรัฐมนตรีสามารถนำเสนอได้อย่างต่อเนื่องกว่า 1 ชั่วโมง

แต่ในแง่ของการประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนสนใจติดตาม กลับเป็นเวลาสั้นๆ เพียง 2-3 วันก่อนวันงาน จนทำให้คนแทบจะไม่รับรู้ว่ามีกิจกรรมดังกล่าวเกิดขึ้น เป็นกิจกรรมของใคร ของเอกชน หรือของรัฐ เนื่องจากมีชื่องานที่ไปพ้องกับเว็บไซต์ของเอกชนที่ตั้งขึ้นมาก่อนหน้านี้

วันที่จัดก็เป็นวันหลังจากการพักโทษของนายทักษิณ ชินวัตร ทำให้ความสนใจของประชาชนและนักข่าวไปอยู่ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า และยิ่งวันที่ 21 กุมภาพันธ์ มีการเดินทางมาเยี่ยมของบุคคลสำคัญคือ สมเด็จฮุน เซน และยังมีข่าวความขัดแย้งถึงขั้นดำเนินคดี ม.157 กับบุคคลระดับรอง ผบ.ตร. มีการแถลงตอบโต้กันอย่างรุนแรงในช่วงเวลาดังกล่าว

Ignite Thailand และปาฐกถาเปลี่ยนประเทศของนายรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน จึงเป็นข่าวรองไปโดยปริยาย

จังหวะในการนำเสนอที่ดี จึงไม่ควรเกิดขึ้นหลังจากการพักโทษของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ แต่ควรเกิดขึ้นก่อนหน้า และจริงๆ แล้วไม่ควรรอถึง 6 เดือน หรือเสียเวลา 6 เดือนแรกกับการสร้างความหวังลมๆ แล้งๆ ไปกับเรื่องการเงิน 10,000 บาท ให้กับประชาชนผ่านดิจิทัลวอลเล็ต

การแถลงวิสัยทัศน์ประเทศไทย หากเป็น 1 เดือนหลังจากการทำงานของรัฐบาล จะเป็นการจุดประกายไฟที่เจิดจ้า และให้เห็นว่ารัฐบาลมีแนวทางในการพัฒนาประเทศในมิติต่างๆ ไม่ใช่มุ่งแจกเงินแต่อย่างเดียว

จังหวะเวลาจึงมีความหมายในเรื่องนี้

 

ผู้นำเสนอ

หากไม่ให้นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นผู้นำเสนอแล้วจะให้ใครเป็นผู้นำเสนอ

คำตอบคือ ไม่มี

ทั้งนี้ เพราะเขาคือผู้นำประเทศ เป็นนายกรัฐมนตรี จึงเป็นบทบาทที่เลี่ยงไม่ได้ ไม่สามารถมีใครที่เหมาะสมและคู่ควร ยิ่งให้หัวหน้าพรรคเพื่อไทย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นผู้นำเสนอ ยิ่งจะเป็นการลดทอนบทบาทของนายเศรษฐาให้ลดลงอีก

แต่ต้องเข้าใจว่าการนำเสนอครั้งเดียวไม่สามารถสร้างแสงขึ้นมาอย่างฉับพลัน การแสดงความเห็นที่มีวิสัยท้ศน์อย่างต่อเนื่องต่างหากที่ทำให้คนเชื่อมั่นว่าเขาคือผู้นำที่มีวิสัยทัศน์โดยแท้ มิใช่การอ่านตามโพยที่มีคนร่างมาให้พูด

6 เดือนที่ผ่าน นายกรัฐมนตรีชื่อเศรษฐา ทวีสิน ยังถือว่าสอบไม่ผ่านในการแสดงความเห็นที่เป็นวิสัยทัศน์ส่วนตัวให้ปรากฏต่อสาธารณะ หลายเรื่องพลาดแบบคนไม่รู้ เช่น การให้จ่ายเงินเดือนข้าราชการเป็นสองรอบที่ขัดกับพฤติกรรมการดำรงชีวิตของข้าราชการไทย การแสดงความเห็นอย่างฉับพลันที่ขัดกับวิธีการทางการทูตในกรณีอิสราเอลบุกฉบวนกาซา การให้สัมภาษณ์เรื่องดิจิทัลวอลเล็ตที่เปลี่ยนไปมาไม่รู้กี่รอบ จนถึงวันนี้ยังไม่สามารถหาข้อสรุป การประกาศการขึ้นค่าแรงเป็น 400 บาทในปีใหม่ทั้งๆ ที่เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการค่าจ้างซึ่งรัฐบาลไม่สามารถไปกำหนดได้ การวิจารณ์ให้ความเห็นต่อมาตรการการเงินที่อยู่ในหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่มีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นประธาน เป็นต้น

การพูดทุกครั้งที่ผ่านมา กลายเป็นสิ่งที่สังคมรับรู้ว่า หนึ่ง ปากไว สอง ไม่ใคร่ครวญ สาม ไม่รู้หน้าที่และบทบาท และสี่ ยังไม่ก่อให้เกิดความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม

น้ำหนักและราคาของการแถลงวิสัยทัศน์ จึงไม่เจิดจ้าเท่าที่ควร

 

แสงสว่างจากดาวเคราะห์

ดาวฤกษ์ คือดาวที่มีแสงสว่างในตัวเอง ส่วนแสงสว่างดาวเคราะห์นั้นมาจากการสะท้อนของแสงที่ได้รับจากดาวฤกษ์ นี่คือหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่คนรับรู้

การเป็นนายกรัฐมนตรี คือโอกาสในการเป็นดาวฤกษ์ เพราะทุกย่างก้าว ทุกกิจกรรม ทุกคำพูด ล้วนเป็นข่าวปรากฏต่อสาธารณะ ไม่มีความจำเป็นต้องไปรอแสงสว่างจากใครอีก

แต่น่าแปลกที่คุณเศรษฐาไม่ใช้โอกาส และกลับลดทอนโอกาสดังกล่าวอีก โดยไปเสริมให้ความสำคัญแก่นายทักษิณ ด้วยการเข้าเยี่ยมและพูดคุยถึงบ้านจันทร์ส่องหล้ากว่า 2 ชั่วโมง ทำให้เกิดความรู้สึกทั่วไปต่อประชาชนว่าราวกับไปรายงานตัวตามคำสั่งที่ให้เข้าพบ

จึงไม่แปลกที่สื่อมวลชนและผู้สังเกตการณ์ทางการเมืองทั้งหลายจะกล่าวว่า วันนี้เรามีนายกรัฐมนตรีมากกว่าหนึ่งคน และบ้านจันทร์ส่องหล้าจะกลายเป็นศูนย์กลางจักรวาลของการเมืองไทย ที่นักการเมืองทั้งที่มีอำนาจและไม่มีอำนาจจะเวียนเข้าไปพบปะอดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่เพื่อเยี่ยมไข้ แต่เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ทางการเมือง

ยังมีโอกาสที่คุณเศรษฐาจะส่องแสงด้วยตนเอง ยังมีเวลาที่จะจุดประกายขึ้นใหม่ เพียงแต่ต้องมีเนื้อหา มีจังหวะเวลา และสร้างคำพูดที่นำไปสู่การทำได้จริง

หากสิ่งนั้นเป็นดาวฤกษ์ ต้องมีวันที่นักวิทยาศาสตร์ส่องกล้องค้นพบ

ยกเว้นว่า สิ่งนั้นเป็นเพียงดาวเคราะห์อับแสง