สักการะพระบรมสารีริกธาตุ-พระอรหันตธาตุ มหามงคลยิ่งใหญ่ เฉลิมพระเกียรติในหลวง

นับเป็นมหามงคลครั้งยิ่งใหญ่ โดยรัฐบาลไทยร่วมกับสาธารณรัฐอินเดีย อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ จากสาธารณรัฐอินเดีย มาประดิษฐานเป็นการชั่วคราว ณ ประเทศไทย เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567

โดยได้อัญเชิญประดิษฐาน ณ มณฑป มณฑลพิธี ท้องสนามหลวง โดยมีสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วยนายราเชนทรา วิศวะนาถ อาเลการ์ ผู้ว่าการรัฐพิหาร ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนรัฐบาลอินเดีย ดร.วิเรนทร์ กุมาร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและเพิ่มพลังทางสังคม สาธารณรัฐอินเดีย รวมทั้งคณะผู้บริหารฝ่ายไทยและอินเดียเข้าร่วม เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

พร้อมเปิดให้ประชาชนเข้ากราบสักการะ ทั้งกรุงเทพฯ และส่วนภูมิภาค โดยในส่วนของกรุงเทพฯ สามารถสักการะได้ที่มณฑลพิธี ท้องสนามหลวง ตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ – 3 มีนาคม 2567 เวลา 09.00-20.00 น.

ในส่วนภูมิภาค อัญเชิญไปประดิษฐานในส่วนภูมิภาคใน 3 จังหวัด ให้ประชาชนได้เข้าสักการบูชา เวลา 09.00-20.00 น.

ภาคเหนือ ระหว่างวันที่ 5-8 มีนาคม 2567 ณ หอคำหลวง อุทยานหลวงราชพฤกษ์ จ.เชียงใหม่

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างวันที่ 10-13 มีนาคม 2567 ณ วัดมหาวนาราม จ.อุบลราชธานี

และภาคใต้ ระหว่างวันที่ 15-18 มีนาคม 2567 ณ วัดมหาธาตุวชิรมงคล จ.กระบี่

สําหรับการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ มาประดิษฐานที่ประเทศไทยเป็นการชั่วคราวครั้งนี้ รัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ สถาบันโพธิคยา 980 สถานทูตอินเดียประจำประเทศไทย ร่วมอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอินเดียและพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ จากพิพิธภัณฑสถานเมืองสาญจี มาประดิษฐานเป็นการชั่วคราว ณ ประเทศไทย เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 เสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐอินเดีย และส่งเสริมการนำหลักธรรมมาใช้ในชีวิตประจำวัน รวมทั้งเปิดโอกาสให้ศาสนิกชนได้สักการบูชา นับเป็นมหามงคลอันยิ่งใหญ่และสูงสุดต่อชีวิต

โดยหลักฐานสำคัญที่ทำให้ทราบว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุคือ ผอบที่พบมีข้อความจารึกด้วยอักษรพราหมี (Brahmi) แปลได้ว่า “ที่บรรจุพระสารีริกธาตุ ของพระพุทธเจ้านี้ เป็นของสากยราชสุกิติ กับพระภาตา พร้อมทั้งพระภคินี พระโอรสและพระชายา สร้างขึ้นอุทิศถวาย”

พระบรมสารีริกธาตุนี้นับเป็นองค์ดั้งเดิม ที่ค้นพบที่สถูปโบราณ ปิปราวาห์ เมืองกบิลพัสดุ์ ในสมัยพุทธกาล ซึ่งประดิษฐานอยู่ที่พิพิธภัณฑ์นิวเดลี

ส่วนพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะนั้น อัญเชิญมาจากเมืองสาญจี รัฐมัธยประเทศ ประเทศอินเดีย ซึ่งห่างจากนิวเดลี 731 กิโลเมตร

การอัญเชิญมาครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ในรอบ 2,567 ปี ที่พระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุของพระอัครสาวกทั้งสององค์เสด็จมาพร้อมกัน

โดยมีการบรรจุอยู่ในผอบทรงเจดีย์ลวดลายแบบไทยประเพณีสำหรับประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ที่สร้างขึ้นเป็นการเฉพาะ โดยช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร และยังได้จัดสร้างมณฑปสถาปัตยกรรมไทยประเพณี ประดิษฐาน ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ออกแบบโดยสำนักสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร

หลังจาก วธ.เปิดให้ประชาชนเข้ากราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุ พุทธศาสนิกชนต่างหลั่งไหลเดินทางมากราบสักการะที่มณฑลพิธี ท้องสนามหลวงจำนวนมาก แม้สภาพอากาศจะร้อนแต่พุทธศาสนิกชนก็ไม่มีความย่อท้อ

โดยนางบังอร หังเสวก ชาว อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร อายุ 65 ปี กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่ได้มากราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุ ถือเป็นมงคลสูงสุดในชีวิต โดยอยากเชิญชวนพุทธศาสนิกชนทุกคน ถ้ามีโอกาสก็อยากเข้ามากราบสักการะ เพื่อเป็นมงคลสักครั้งในชีวิต

นายรามิน เดอร์ซิงห์ สัจจะเทพ นายกสมาคมนามธารีสังคัตแห่งประเทศไทย (ศาสนาซิกข์) กล่าวว่า ส่วนตัวมีความรู้สึกดีใจมาก และปลื้มปีติอย่างสูง ซึ่งองค์กรต่างๆ ได้ร่วมกันอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะมาประดิษฐานเป็นการชั่วคราวที่ประเทศ ถือเป็นสิริมงคลของชีวิตของพุทธศาสนิกชนชาวไทยและต่างประเทศ โดยในส่วนของตนเอง แม้จะนับถือศาสนาซิกข์ แต่ในใจก็นับถือศาสนาพุทธ แต่ละปีจะไปกราบสักการะต้นโพธ์ที่ประเทศอินเดีย 2-3 ครั้ง การที่อัญเชิญมาประเทศไทยในโอกาสเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงเป็นเรื่องที่ไม่เคยคิด ถือเป็นบุญของประเทศไทย ที่รัฐบาลอินเดียอนุญาต และในนามคนอินเดียในประเทศไทย ตนถือว่าเป็นบุญของทุกคน ทั้งชาวไทยและชาวอินเดียที่อยู่ในประเทศไทย

ขณะที่นางอำไพ ทองคำ กล่าวว่า เดินทางมาจากวัดสังฆทานพร้อมกับเพื่อนๆ รู้สึกปลื้มใจที่ได้มีโอกาสมากราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและ พระโมคคัลลานะ ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่พระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอัครสาวกทั้ง 2 พระองค์ ได้มาประดิษฐานเป็นการชั่วคราวที่ประเทศไทย เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้กราบสักการะ ซึ่งส่วนตัวรู้สึกประทับใจมาก เพราะเคยเดินทางไปสักการะที่ประเทศอินเดีย แต่ไม่คิดว่าจะได้มากราบที่ประเทศไทย รู้สึกดีใจมาก

“ดิฉันรู้สึกดีใจมาก ที่ได้มีโอกาสกราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ที่ประเทศไทย โดยได้อธิษฐานให้สุขภาพแข็งแรง มีแต่สิ่งดีๆ เกิดขึ้นในชีวิต ทั้งกับตนเองและประเทศชาติ และเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ขอให้พระองค์มีพระพลานามัยแข็งแรงและมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน” นางอำไพกล่าว

นับเป็นช่วงเวลามหามงคล และถือเป็นบุญครั้งใหญ่ของประเทศ รวมถึงพุทธศาสนิกชนที่ได้มีโอกาสกราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ เพื่อเสริมสิริมงคลให้ชีวิต •