ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 1 - 7 มีนาคม 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | อัญเจียแขฺมร์ |
ผู้เขียน | อภิญญา ตะวันออก |
เผยแพร่ |
การเล่าเรื่องตระกูลพระยาแบนหรือต้นตระกูลอภัยวงศ์ ตามแนวเขียนของอัญเจียฯ คือมุมมองในแบบเขมรที่อาจไม่เข้าพวกใดๆ โดยเฉพาะกับมุมมองไทยที่ผ่านมา
กอปรกับเมื่อท้องเรื่องเหล่านี้ ถูกนำมาเล่าใหม่ในปี 2024 ที่กัมพูชามีคณะผู้ถือครองประเทศในแบบเจ้านายเขมรยุคใหม่ที่ชื่อ สมเด็จเจ้าเตโชเสน ผู้มาแทนขุนนางเขมร “พระยาแบน” สมัยอดีต
แล้วพระยาแบนนั่น เป็นใครกันเล่า?
เฉลย : เจ้าพระยาแบนฉบับเขมรนี้ คือสมัยที่เสียมช่วยเขมรทำสงครามกับอันนัม (เวียดนาม) ต่อชั่วลูกหลานมาแถบกัมพูชาใต้ และมาตั้งถิ่นฐานอยู่แถบกัมพูชากลาง/กันดาล แบบเดียวกับสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเตโชฮุน เซน จากกำปงจามซึ่งปัจจุบันครอบครองเขตกันดาล
ทว่า สมัยนั้น ขุนศึกเขมรที่ทำศึกกับอันนัมปกป้องบันเตีย/ฐานของตนบางรุ่นบางตระกูล ขณะที่อาณาจักรเขมรกลางยังไม่มีกษัตริย์มาปกครองที่เมืองจตุมุข/พนมเปญใกล้สุดที่เคยมาก็กำโปด หรือไกลโน่นที่พระตะบอง/บัมตัมบอง จนถูกเสียมขอแบ่งไปปกครอง
ก็แล้วทำไม “เสด็จกรัน” (กษัตริย์กร่าง) ที่คนเขมรเรียกขุนศึกเหล่านี้กัน จะเป็น “พระยาแบน” บ้างไม่ได้?
ก็เช่นกัน ตั้งแต่ 1979 เมื่อกองทัพเวียดนามหรืออดีตอันนัม พาฮุน เซน และคณะกลับสร๊กด้วยชัยชนะ ขณะที่ไร้สถาบันกษัตริย์เขมรตอนนั้น ครั้น 1993 เมื่อกัมพูชามีกษัตริย์อีกครั้งอย่างแน่แท้ แต่ธรรมนูญกษัตริย์ฉบับใหม่โดยฝ่ายพลเรือน (และกองทัพ) ที่นำโดยฮุน เซน ก็คุมอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ
แล้วเรื่องราวอดีตแห่งสมัย “เสด็จกรัน” หรือคือยุคของขุนศึกศักดินาพระยาแบนก็กลับมาอีกครั้งในสมัยสมเด็จฮุน เซน แห่งปี 2024 ทว่าคราวนี้ กินเรียบทั้งสร๊ก หาใช่เฉพาะเสียมราฐ พระตะบอง ศรีโสภณเช่นอดีต
แต่อย่างนั้น ทั้งหมดนี้ ก็เป็นเรื่องกัมปูเจียทั้งหมด
พระยาแบน ในโหมดความจำเขมรเก่า คือเจ้าตระกูลตัวแทนสยามมีศูนย์กลางปกครองอยู่ที่เมืองพระตะบอง เรื่องเล่าพระยาแบนภาคเขมรจึงไม่สู้ให้ความสำคัญกับ “ตระกูลอภัยวงศ์” ที่เป็นเชื้อแถวแบบสยาม
นอกจากเรื่องความมักใหญ่ใฝ่สูงของพระยาแบนที่ถือตนว่าเป็นเสด็จกรัน ตีตนเสมอกษัตริย์ พระบาทนโรดม (1860-1904) จนเรียกว่าคู่ปรับกันมาก็น่าจะได้
ทำนองเดียวกับประวัติศาสตร์ร่วมสมัยสำหรับนักปกครองพลเรือนที่ถือตนเหนือกว่ากษัตริย์ คือสมเด็จฮุน เซน ซึ่งก็ตรงกับรัชสมัยพระบาทนโรดม สีหนุ พระเจ้าเหลนในพระบาทนโรดมที่ 1
เคยถึงกับทำให้พระบาทนโรดมต้องนั่งรอพระยาแบน ที่เขตโพธิสัตว์ เพื่อฟังข่าวในรัชกาลที่ 4 แห่งสยามว่ามีพระประสงค์ในสิ่งใด?
จะข้ามไปถึงเมืองพระตะบองก็ไม่ได้ เพราะเป็นศัตรูกันแล้ว
ส่วนพระยาแบนก็ทำทียิ่งใหญ่ต่างพระเนตรพระกรรณที่ปกครองพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ ไม่ต่างจากเสด็จกรันแคว้นหนึ่งกัมพูชาเลยทีเดียว
ทว่า เสด็จกรัน/พระยาแบนเตโชยุคใหม่ในภาคปัจจุบัน อย่างที่ทราบ กินเรียบทั้งที่ราบเขมรใต้ถึงกำโปด และตะวันตกทั้งหมด เรียกว่ากินทั้งสร๊ก สำหรับสมเด็จเตโชเสน
พระยาแบนภาคนี้ มีรุ่นทายาทวงศ์วานเหมือนพระยาอภัยภูเบศร (บรรดาศักดิ์ใหม่ของพระยาแบน) ที่มีทายาทของตน อย่างไรอย่างนั้น
ต่างกันก็ตรงที่สมเด็จอัครเสนาบดีเขมรคนใหม่ไม่ขึ้นกับไทย (หรือสยาม) ปกครองบ้านเมืองของตนในรูปแบบรัฐสภาและพันลึกกันมาเช่นเดียวกัน
ชาวเขมรบางฝ่ายต่อต้าน พระยาแบน/เสด็จกรันยุคใหม่ แต่บางฝ่ายก็ยกย่องสูงสุดเสมือนกษัตริย์เสียอีก เป็นพระยาแบนผู้มาเกิดใหม่ยิ่งใหญ่กว่าอดีต เพราะไม่เพียงแต่ปกครองเอกเทศสำเร็จเท่านั้น แต่ยังสร้างพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์แก่วงศ์วานไม่ต่างจากชั้นกษัตริย์ด้วยซ้ำ
ก็ใครว่า อภัยภูเบศรพระยาแบนที่พระตะบองไม่มีธรรมเนียมนี้?
น้อยไปสิ เมื่อฝ่ายเสียมที่บางกอกรู้ไม่เท่าทัน? ทั้งการสร้างวัดประจำตระกูล การทำพิธีวันเกิดของพ่อเมือง เปิดการแสดง 5 วัน 7 วัน ให้ราษฎรร่วมเฉลิมฉลอง เล่นละครบ่อนเบี้ย
ซึ่งการละเล่นแบบนี้แม้แต่เสด็จหรือกษัตริย์ที่พนมเปญก็ยังหาทำได้เท่าเทียมไม่!
นี่ล่ะ เสด็จกรันยุคอดีต!
อย่างอิหลักอิเหลื่อ ยุคชีวิตตกต่ำตระกูลพระยาแบนรุ่นลูกหลาน ตั้งแต่ละทิ้งที่ว่าการเมืองพระตะบองแก่เขมร ข้อเท็จจริงฝรั่งเศสอ้างว่า ได้ชดเชยสินทรัพย์จำนวนหนึ่งแก่พระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) หรือเจ้าเมืองพระตะบองคนสุดท้าย ผู้ดำริปลูกสร้างตึกอภัยภูเบศร เมืองปราจีนบุรีปัจจุบัน
เกี่ยวกับชุ่ม อภัยวงศ์ ซึ่งเป็นหลานเจ้าพระยาแบน บิดาคือเยีย (เจ้าพระยาคทาธรฯ) แห่งตระกูลนี้ มีทั้งเสวยทุกข์เสวยสุข ทั้งการสร้างอาณาจักรเมืองพระตะบองเสมือนเป็นเขตคามอาณาจักรที่ตีคู่มากับกัมพูชาและผู้ปกครองก็ไม่ต่างเสด็จกรันนั้น
ครั้งหนึ่ง เมื่อถึงคราวตกต่ำ ทั้งครอบครัววงศ์วานก็ถูกกวาดล้างข้ามฟากจากตะวันตกไปยังตะวันออกในเขตอันนัม/กัมพูชาใต้ และถูกควบคุมจองจำเสมือนเป็นตัวประกัน
แต่ให้บังเอิญว่า เสด็จกรันฮุน เซน/2024 ที่ผ่านมา ได้เดินหน้ากัมพูชาน่าสนใจ
“พระยากรัน” สมัยเตโชเสนระหว่างปี 1979-1999 คือท่วงทำนองของสังคมนิยมแบบเวียดนามร่วม 2 ทศวรรษ ฟังดูเหมือนแปลกแยก แต่เป็นความจริงที่ว่า เมื่อความปึกแผ่นคล้อยผ่านตามมา พลัน การปลูกฝังการปกครองกึ่งขุนศึกออกญาพ่อค้านอมินีแบบอดีตยุคศักดินาก็ถูกนำมาสวมลงบนรัฐสภาที่มีสถาบันกษัตริย์ของบ้านนี้เมืองนี้ อย่างน่าประหลาด
ด้านหนึ่ง ก็มีร่องรอยบางอย่างที่ทำกันมาตั้งแต่สมัยอินโดจีนโน่น อาทิ ระบบเทศาภิบาลที่แต่งตั้งจากส่วนกลางไปปกครองแต่ละเขต เมื่อสมควรแก่เวลาก็กลับมารับตำแหน่งสำคัญในรัฐบาล ซึ่งเคยปรากฏก่อนกัมพูชาได้เอกราชจากฝรั่งเศส
แต่กลับพบว่า ครม.ฮุน มาแนต ยุคนี้กลับหันไปใช้ระบอบเดียวกัน?
นั่นหมายความว่า ครม.ระบอบฮุนเซนได้ผันตัวเอง เหนือชั้นกว่ายุคประมุขแห่งรัฐของระบอบสังคมราษฎร์นิยม/สีหนุ (1955-1970) ซึ่งยึดโยงกับระบอบการปกครองลูกผสมแบบอินโดจีน โดยการสยายขนาดของ “ออกญา” ซึ่งมีทั้งข้าราชการการเมืองและพ่อค้านอมินีราว 1,000 นาย ที่เป็นเหมือนเครือข่ายองคาพยพ
ระบอบฮุนเซนยุคเสด็จกรัน จึงเหนือชั้นกว่าระบอบในประวัติศาสตร์ร่วมสมัยของเขมร
ศักยภาพอันเกรียงไกรนี้ ยังถูกสยายไปใช้ในรูปแบบต่างๆ ด้านขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมเพื่อเอื้อต่อชนชั้นขุนนางสมัยใหม่ยุคนี้
โดยมีภริยาเจ้าพระยาเตโชเสน คือ สมเด็จบุน รานีฮุนเซน (70) เป็นศูนย์กลางในการปลูกสร้างพิธีกรรมธรรมเนียม ทั้งพิธีความตาย การเกิด การแต่งงาน ฯลฯ อย่างวิจิตรโอฬารและยิ่งใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ มาร่วมทศวรรษ
จะเห็นเทียวว่า แห่งตระกูลสมเด็จเจ้าพระยาฮุนเซนได้มีการก่อสร้างอนุสาวรีย์ในรูปต่างๆ การสร้างวัดวาประจำตระกูล
ตลอดจนทำนุบำรุงพระเถรานุเถระชั้นสมเด็จพระสังฆราชฝ่ายมหานิกายซึ่งถือกันว่า เป็นสมเด็จพระสังฆราชประจำตระกูลฮุน คือสมเด็จเทพวงศ์
ทั้งหมดนี้ เคยสืบรอยสมัยเสด็จกรัน/พระยาแบน ปกครองแคว้นเขมรที่บัตตัมบอง เรียกว่า ตามรอยลอกกันทั้งดุ้นมาแต่อดีต โดยมีภรรยา-สมเด็จบุน รานีฮุนเซน ที่ได้ชื่อว่า มีศักดิ์เทียบเท่ากับกษัตริยาสีโสวัตถิ์ กุสุมา นารีรัตน์ (1960-1970) ผู้ซึ่งครั้งได้รับการขนานนามว่าเป็นองค์สถาปนิกด้านขนบวัฒนธรรมและศิลปะชั้นสูงของกัมพูชาในสมัยสีหนุ
บุน รานี ปลุกสร้างขนบธรรมเนียมใหม่ๆ แก่ชนชั้นนำในระบอบของสามี จนพิธีกรรมตำรับรานีนั้นชั้นสูงอารยะ โดยเฉพาะพิธีกรรมแห่งความตายและการแต่งงานซึ่งเป็นที่กล่าวขานกันไปทั่ว
สมเด็จฮุน เซน : เสด็จกรันแห่งแคมโบเดียซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้พิชิต เขาพิชิตมาหมดแล้วทุกวันนี้ แทบไม่มีคู่อริคนใดหลงเหลืออยู่แล้วในปี 2024
แต่เพียงราตรีซึ่งตื่นขึ้นในเดือนมกราคมที่พิธีเฉลิมฉลองอันยาวนานและยิ่งใหญ่ ได้ปลุกให้สมเด็จเจ้าพระยาเตโซฮุน เซน ตื่นขึ้นอีกครั้งอย่างว่างเปล่าเมื่อพบว่า ภรรยาสุดที่รักของตนล้มในห้องน้ำ เธอถูกส่งเข้าห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลที่เธอมีส่วนร่วมบริจาคอย่างยิ่งใหญ่ในนามตระกูลของตน
แต่บัดนี้ ขณะที่ศรีภรรยายังนอนหลับใหลไม่ฟื้นสติ สมเด็จฮุน เซน ดูจะปล่อยวางอย่างไม่เคยเห็นเลยเทียวว่า
ในที่สุด “พระยากรัน” ก็เลิก “กร่าง”
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022