‘เศรษฐา’ นายกฯ คนเดียว สู้ด้วยผลงาน เสาค้ำเก้าอี้ ศูนย์รวมอำนาจคือ ‘ทำเนียบ’

นับตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ ภายหลัง “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ได้รับการพักการลงโทษ เข้าสู่กระบวนการคุมประพฤติ โดยแจ้งสถานที่พักโทษเป็นบ้านพักส่วนตัว “บ้านจันทร์ส่องหล้า” ซอยจรัญสนิทวงศ์ 69 กรุงเทพมหานคร

ทำให้ตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันหนาหูว่า หลังจากนี้อดีตนายกฯ “ทักษิณ” จะกลับมาเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญทางการเมืองไทยอีกครั้งหรือไม่

ยิ่งไปกว่านั้น สังคมต่างตั้งข้อสังเกตและตั้งคำถามต่อไปในทิศทางเดียวกันว่า โอกาสที่ศูนย์บริหารงานและศูนย์รวมอำนาจจะย้ายขั้วจาก “ทำเนียบรัฐบาล” ไปยังบ้านจันทร์ส่องหล้านั้น มีความเป็นไปได้หรือไม่

เหตุทว่า อดีตนายกฯ ทักษิณ ออกมาพักโทษที่บ้านจันทร์ส่องหล้าเพียงไม่กี่วัน บรรดานักการเมืองหลายคนต่างส่งสัญญาณชัดเจนว่าเตรียมหาโอกาสที่เหมาะสมเพื่อเข้าไปพบและขอคำปรึกษาการบริหารการทำงานจากอดีตนายกฯ ทักษิณ

ขณะที่พรรคฝ่ายค้าน โดยเฉพาะ “ชัยธวัช ตุลาธน” ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ได้แสดงความเห็นโดยประเมินสถานการณ์ทางการเมืองเชิงเตือนรัฐบาลว่า สภาพดังกล่าวจะเหมือนกับการมีนายกรัฐมนตรี 2 คน ถ้าไม่ระมัดระวัง อาจจะมีปัญหาในการบริหารงานของรัฐบาลได้

ส่วนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะสั่นคลอนหรือไม่นั้น ถ้าบริหารจัดการไม่ดีก็จะมีปัญหาได้

เช่นเดียวกับ “วันชัย สอนศิริ” ส.ว.คนดัง ออกมาระบุทำนองว่า

“ทักษิณ ชินวัตร ผู้มีอำนาจตัวจริงเสียงจริงออกมาแล้ว วันนี้เจันทร์ส่องหล้า คงจะทำให้การบริหารจัดการทางการเมืองและการทำงานของนายเศรษฐา และคณะรัฐมนตรี มีพลังที่เป็นเอกภาพ ขับเคลื่อนผลงานออกมาให้เป็นที่ประจักษ์ เป็นที่นิยมชมชอบของประชาชนได้ เพราะคุณทักษิณคือศูนย์รวมแห่งอำนาจตัวจริง”

เรื่องนี้ ฟากแกนนำพรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมรัฐบาล ต่างออกมาการันตีว่าการพักโทษของอดีตนายกฯ ทักษิณ จะไม่ก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมทางการเมือง หรือมีผลต่อการปรับเก้าอี้คณะรัฐมนตรี

รวมทั้งยืนยันว่าประเทศไทยขณะนี้มี “เศรษฐา ทวีสิน” เป็นนายกรัฐมนตรี เพียงคนเดียว

และไม่ใช่ “นายกฯ หุ่นเชิด” ของใครอย่างแน่นอน

แน่นอนว่าทุกสายตา ต่างจับตามองว่า “เศรษฐา ทวีสิน” จะมีท่าทีต่อเรื่องนี้อย่างไรบ้าง

โดย “เศรษฐา” ระบุถึงผู้ที่เห็นต่างซึ่งออกมาเคลื่อนไหวและมองว่าศูนย์บริหารงานหลังจากนี้จะเปลี่ยนจากทำเนียบรัฐบาลไปเป็นบ้านจันทร์ส่องหล้า ว่า เรื่องความเห็นต่างเป็นธรรมดาในสังคมไทยอยู่แล้ว น้อมรับเรื่องความเห็นต่าง ต้องพูดคุยกันด้วยภาษาที่เหมาะสม ยึดมั่นในหลักการ บ้านเมืองต้องเดินไปข้างหน้าให้ได้ บ้านเมืองบอบช้ำกันมาเยอะ วันนี้มาร่วมกันทำงานเพื่อประเทศชาติ

“ผมเชื่อว่าถ้าเกิดท่านอดีตนายกฯ ทักษิณพร้อมจะให้คำแนะนำ เชื่อว่าไม่มีใครในรัฐบาลนี้ไม่อยากจะรับคำแนะนำจากท่าน อย่ามาดราม่ากันเลยว่ามีนายกฯ กี่คน รัฐธรรมนูญไทยระบุอยู่แล้วว่ามีนายกฯ คนเดียว ก็มีคนเดียว ก็คือผมนี่แหละ” เศรษฐากล่าวยืนยัน

ส่วนจะมีการขอคำแนะนำนายทักษิณหรือไม่ “เศรษฐา” ระบุว่า “ประเทศไทยไม่ได้มีแค่อดีตนายกฯ ทักษิณ แต่ทุกคนเป็นที่ประจักษ์อยู่แล้วว่าอดีตนายกฯ ทักษิณเป็นบุคคลที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยด้วย และยังมีอดีตนายกฯ อีกหลายคนที่มีความชำนาญหลายๆ เรื่อง ซึ่งคนรัฐบาลรวมถึงตนเองก็มีสิทธิที่จะไปขอคำแนะนำกับบุคคลเหล่านี้ แต่ยืนยันว่าจุดมุ่งหมายที่ทุกคนมีคือให้บ้านเมืองเดินหน้าไปได้”

ฉะนั้น หลังจากนี้ “เศรษฐา” ในฐานะนายกรัฐมนตรี คงต้องเดินหน้าแสดงบทบาทและเร่งผลักดันผลงานรัฐบาลตามนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา รวมทั้งแก้ปัญหา ฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพื่อพิสูจน์ตัวเองในฐานะผู้นำประเทศ ให้ประชาชนเกิดการยอมรับและศรัทธาให้ได้

 

หากย้อนกลับไปนับตั้งแต่ “เศรษฐา” สละเก้าอี้ผู้บริหารบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ ลงสนามการเมืองแบบเต็มตัวในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย จนกระทั่งได้รับเสียงโหวตสนับสนุนให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ของประเทศไทยนั้น

เห็นได้ชัดเจนว่า “เศรษฐา” ลุยทำงานอย่างเต็มที่ แบบ Non Stop ไม่มีวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ยกคณะลงพื้นที่ตรวจราชการ ทั้งเหนือ กลาง อีสาน ใต้ พบปะภาคเอกชน รับฟังปัญหาจากประชาชน เพื่อเร่งแก้ไขและนำข้อมูลไปสานต่อนโยบายเพื่อผลักดันนโยบายรัฐบาลให้สำเร็จโดยเร็ว ตามที่ให้คำมั่นสัญญากับประชาชน

ขณะเดียวกัน ทุกครั้งที่เดินทางไปร่วมประชุมเวทีระดับโลกที่ประเทศต่างๆ นั้น “เศรษฐา” ประกาศตัวเป็นเซลส์แมนประเทศ เชิญชวนนักลงทุน บริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่ เข้ามาลงทุนในประเทศไทย เพื่อหวังเป็นอีกหนึ่งช่องทางช่วยกระตุ้นเม็ดเงินเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโต

“ชัย วัชรงค์” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาเปิดเผยว่า ในโอกาสครบ 6 เดือนการทำงานของรัฐบาล “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐบาลได้ประเมินการทำงานที่ผ่านมา พบว่า มีความสำเร็จเห็นเป็นดอกผลจากการทำงานอย่างหนัก วางแผน กำหนดนโยบายด้วยทีมงานที่เข้าใจการทำงาน และเข้าใจชีวิตประชาชนอย่างแท้จริง เชื่อมั่นว่านโยบายเหล่านี้จะประสบผลสำเร็จทำให้วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้นอย่างแท้จริง

โฆษกรัฐบาลระบุต่อว่า นายกรัฐมนตรีได้กำหนดนโยบายในการวางรากฐานอนาคตให้กับคนไทย กรอบระยะสั้น กระตุ้นการใช้จ่าย ลดหนี้เกษตรกร เพิ่มราคาสินค้าเกษตรเพื่อเกษตรกร ควบคุมสินค้าเถื่อนที่ลักลอบเข้าประเทศไทย เพื่อจุดเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจให้กลับมาเติบโต รวมทั้งเร่งแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของประชาชนอย่างเร่งด่วนและรวดเร็ว

ส่วนของระยะกลางและระยะยาว คือเสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศ เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย สร้างโอกาส ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับประชาชนทุกคน โดยนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำอย่างต่อเนื่องว่า ส่วนไหนทำได้ก็จะดำเนินการส่วนนั้นก่อนเพื่อแบ่งเบาภาระ เพิ่มประโยชน์แก่ประชาชนทุกกลุ่ม

“นายกฯ ดำเนินการทำงานทุกด้านอย่างสอดประสาน ทั้งแก้ปัญหาในประเทศ ดึงปัจจัยสนับสนุนจากต่างประเทศ เชื่อมั่นว่าทำงานมา 6 เดือน แก้ปัญหาให้ประชาชนทุกพื้นที่อย่างต่อเนื่องจนเห็นผลสำเร็จบ้างแล้ว โดยมุ่งมั่นจะทำให้ความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนดีขึ้น ขณะเดียวกันก็พร้อมยินดีรับฟังความเห็นจากทุกฝ่าย ทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเสียงความเดือดร้อนของประชาชน เพื่อแก้ไขปัญหาให้ได้ทางออกที่ดีที่สุดกับพี่น้องประชาชน” นายชัยระบุ

 

ฉะนั้น หาก “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี สร้างผลงานเป็นที่ประจักษ์ เป็นรูปธรรม จับต้องได้ และถูกอกถูกใจประชาชน

ย่อมหาได้กังวลกับเสียงวิจารณ์ “นายกฯ 2 คน”

เพราะผลงานของรัฐบาลที่จะเป็นเกราะป้องกันให้ “เศรษฐา” ได้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ครบ 4 ปี

และนำพาพี่น้องประชาชนคนไทยมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ตามที่ตั้งใจไว้ได้อย่างแน่นอน