ไม่จำนนก็จองจำ

ภาพเดียวบรรยายได้เป็นล้านคำ

ภาพที่ “ทักษิณ ชินวัตร” สวมเฝือกคอแข็งและเฝือกแขนพะรุงพะรังออกจากชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ เดินทางกลับบ้าน “จันทร์ส่องหล้า” ช่างเป็นภาพประวัติศาสตร์จริงๆ

เกือบ 20 ปีมานี้ หน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยมีแต่เรื่องทักษิณ

“ทักษิณ” เป็นผู้นำทางการเมืองที่สร้างประวัติศาสตร์ ด้วยการชนะเลือกตั้งเป็น “พรรคการเมืองเดียว” มีที่นั่งเกินครึ่งในสภา (374 ที่นั่งจาก 500) เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2548

ทักษิณในวัย 50 กว่าๆ เหมือนม้าศึกที่คึกคะนอง ผุดนโยบายและวิธีทำเลิศล้ำได้ใจชาวบ้าน กระทั่งมีมวลชนเป็นประดุจดังผนังทองแดงกำแพงเหล็ก มีนักการเมืองที่ดีเด่นดังเป็นขุนพลเคียงข้างบัลลังก์ร่วมคิดขับเคลื่อนจนต้องเกิดขบวนการ “สมคบคิด” กำจัดทักษิณ

ในเดือนกันยายน 2549 พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. เคลื่อนพลรบพร้อมยุทโธปกรณ์เข้ายึดอำนาจรัฐบาลที่ได้เสียงท่วมท้นจากการเลือกตั้งของประชาชน ในขณะ “ทักษิณ” อยู่ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

ด้วย “ข้อมูลใหม่” จากปากคนใกล้ชิดทำให้ “ทักษิณ” ไม่คิดสู้

“ทักษิณ” พอจะล่วงรู้ว่าจะเกิดอะไรตามมา

พรรคไทยรักไทย ของ “ทักษิณ” ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบ นักการเมืองดาวเด่นทั้งหลายที่รายล้อมทักษิณถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ตามด้วยข้อหาสารพัด ดำเนินคดีกับ “ทักษิณ”

จนมีคำกล่าวต่อมาว่า แค่หายใจเสียงดัง “ทักษิณ” ก็ผิด

“ทักษิณ” ทำได้ก็แค่อดทน และรอคอย

 

ภายหลังรัฐบาลจากรัฐประหารเขียนรัฐธรรมนูญใหม่เสร็จและจัดให้มีการเลือกตั้ง “ไทยรักไทย” เดิมเปลี่ยนโฉมเป็น “พลังประชาชน”

ครั้งนี้ถึงจะชนะเลือกตั้งไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่ก็คว้า 226 เก้าอี้จาก 480 ที่นั่งในสภาผู้แทนฯ ส่ง “สมัคร สุนทรเวช” ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี

เมื่อไม่สามารถสกัดกั้นได้ ขบวนการเก่าๆ ก็เคลื่อนพลออกโรงป่วนจุดชนวนไล่รัฐบาลพรรคพลังประชาชน ในฐานะที่เป็นสายพันธุ์ทักษิณ

และแล้ว “สมัคร” ก็ถูกสอยลงจากเก้าอี้

จากเหตุที่ไปทำกับข้าวออกรายการทีวี

พรรคพลังประชาชนไม่จนตรอก ส่ง “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทน

คราวนี้ขบวนการต่อต้านลุกลาม ยกระดับถึงขั้นชุมนุมปิดสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ

มือจุดไฟม็อบมีเส้น ตั้งใจเร่งโหมกระพือ

ปลายปี 2551 นั้นเองศาลรัฐธรรมนูญสั่ง “ยุบ” พรรคพลังประชาชน กาลอวสานของ “นายกฯ สมชาย” ก็มาถึง

รัฐบาลประชาธิปัตย์และอภิสิทธิ์เกิดขึ้นจากการแปรพักตร์ของเครือข่ายทักษิณ และการจัดการของนายทหารบางคนในกองทัพ

“ความอยุติธรรม” ทางการเมืองทำให้เกิดแรงต้าน

มวลชนเสื้อแดงเคลื่อนจากทุกทิศทางเข้าชุมนุมในกรุงเทพฯ ยืดเยื้อตั้งแต่ “เมษายน-พฤษภาคม 2553” รัฐบาลอภิสิทธิ์ตัดสินใจ “ใช้กระสุนจริง” เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 99 ราย บาดเจ็บและพิการนับพันคน

 

กล่าวได้ว่า 4 ปีภายหลัง “นายกฯ ทักษิณ” ถูกโค่น เต็มไปด้วยเลือดและน้ำตาของผู้ชุมนุมซึ่งเปรียบเสมือน “เบี้ย” บนกระดานการเมือง

ในเดือนธันวาคม 2553 “ทักษิณ” ให้สัมภาษณ์กับ “ทอม เพลต” (จากหนังสือ-จับเข่าคุย ทักษิณ ชินวัตร : สุรนันทน์ เวชชาชีวะ แปล; สำนักพิมพ์มติชน 2555) ตอนหนึ่งว่า

“พวกเขาไม่ต้องการให้ผมกลับไป เพราะรู้ว่าพวกเขาแข่งขันโดยตรงกับผมไม่ได้ โจทย์จึงเป็นวิธีการที่ผมจะเดินทางกลับ การกลับไปของผมจะต้องเป็นวิธีที่มีเมตตา และผมต้องรอจังหวะที่เหมาะสม ซึ่งอาจจะเป็นภายในสิ้นปี 2011 (2554)”

เพียงแค่นี้ก็พอจะคาดเดาได้ว่า “ดีล” เพื่อกลับบ้านของ “ทักษิณ” นั้นมีระยะเวลาดำเนินการมาไม่น้อยกว่า 10 ปี

แล้วในปีที่ 17 หลังจากถูกยึดอำนาจ “ทักษิณ” ก็ได้กลับไทยด้วย “วิธีการ” ที่สุดพิสดารจริงๆ

 

22 สิงหาคม 2566 เมื่อ “ทักษิณ” กลับไทยก็ถูกส่งตัวให้เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แดน 7 (สถานพยาบาล) จากนั้นถูกส่งตัวเข้ารักษาฉุกเฉินทันที ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ

มี 3 คดีที่ค้างคา ศาลตัดสินให้จำคุก “ทักษิณ” รวม 8 ปี ได้รับพระราชทานอภัยลดโทษเหลือ 1 ปี ดังนั้น เมื่อถูกควบคุมตัวครบ 180 วันในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 “ทักษิณ” อายุ 75 ปีก็เข้าเกณฑ์เป็น “ผู้ต้องขังอาวุโสและเจ็บป่วยเรื้อรัง”

ได้รับการพักโทษเป็นกรณีพิเศษ กลับบ้านได้!

คำถามที่เกิดขึ้น เหตุใดเมื่อก่อน “ทักษิณ” จะคิดจะทำอะไรก็ผิด วันนี้กลับมี “อภิสิทธิ์” ล้ำถึงเพียงนี้

ฝ่ายแค้นเคืองที่เคยขับไล่ทักษิณจุกอกอึดอัดใจที่ “ทักษิณ” ไม่ได้นอนคุกแม้แต่คืนเดียว

ส่วนคนที่เคยรักเคยชอบความคิดความอ่านอันทันสมัยและหัวใจนักสู้บนเส้นทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของ “ทักษิณ” ถึงแม้จะปลาบปลื้มยินดีกับครอบครัว “ชินวัตร” ที่เคยถูกปู้ยี้ปู้ยำมาเกือบ 2 ทศวรรษ แต่ก็มีคำถามผุดขึ้นในใจ…

“ระบบความคิด” ของผู้มีหน้าที่ “อำนวยความยุติธรรม” ในประเทศมีความน่าเชื่อถือเพียงใด

 

ระบบยุติธรรมถูกสร้างขึ้นเพื่อจัดการกับพิพาทเพื่อไม่ให้จัดการหรือฆ่ากันเอง จึงตกลงกันว่า ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย มีกระบวนวิธีในการสืบค้นพิสูจน์ทราบความถูกผิด มีกระบวนการพิจารณาวินิจฉัยตัดสิน เปิดเผย โปร่งใส ตรวจสอบได้ ทำให้ทุกคนยอมรับได้ว่า “ยุติธรรม” อย่างน้อยก็พอสมควร

ไม่ใช่เอากฎหมาย หรือเอากลไกในระบบยุติธรรมไปใช้ “ทำลาย” ฝ่ายที่อ่อนแอกว่า ไม่กลั่นแกล้งรังแกหรือหาเหตุหาเงื่อนไขทำให้ผิด ทำขาวให้เป็นดำ หรือทำดำให้เป็นขาว

“ทักษิณ” และเครือข่ายประสบกับชะตากรรมเช่นนั้นมาตลอด 17 ปี

ถ้าถามว่า กว่าจะมาถึงวันนี้ ทุกข์ทรมานหรือไม่

คำตอบก็ต้องว่า ความยุติธรรมที่ “ล่าช้า” นั้นโคตรจะโหดร้าย

แต่ 17 ปีที่ “ทักษิณ” ทุกข์ทรมานกับ “การไม่ได้กลับบ้าน” นั้น ยังเทียบกันไม่ได้กับ 14 ปีที่ “คดี 99 ศพ” ยังไม่ได้รับความเป็นธรรม

วันนี้ “พรรคเพื่อไทย” เป็นรัฐบาล และ “ทักษิณ” ก็ได้กลับบ้าน

เป็นวันชัยชนะหรือพายแพ้!

หรือว่า คนอายุเกินกว่า 70 ทั้งหลายที่ยังเดินอยู่บนถนนการเมืองเวลานี้ ได้มาถึงจุด “สิ้นสุดทางเลื่อน” แล้ว แต่ไม่บอกกล่าวสารภาพแก่สาธารณะตามตรงว่า ทุกความเคลื่อนไหวหรือที่เรียกว่าการต่อสู้ที่ผ่านมาในยุคสมัยของเขาเหล่านั้น พ่ายแพ้แล้วอย่างสิ้นเชิง

อ.พวงทอง ภวัครพันธุ์ จึงมิพักตักเตือนหรือตัดพ้อต่อว่า คนเดือนตุลา

แม่เจี๊ยบ “อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล” ก็ไม่ต้องจุกอกน้ำตาไหล เมื่อไหร่ #อานนท์ และคนอื่นๆ จะได้กลับบ้าน!?!!!