เรื่องเล่านอกสาแหรก ‘พระยาแบน-อภัยวงศ์’ ฉบับไทย-เขมร (1)

อภิญญา ตะวันออก

อัญเจียแขฺมร์ | อภิญญา ตะวันออก

 

เรื่องเล่านอกสาแหรก

‘พระยาแบน-อภัยวงศ์’

ฉบับไทย-เขมร (1)

 

เอาจริง ไม่มีใครเลยรู้จักมาก่อน จริตนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์

ทั้งสมัยที่แกยังไม่เป็นนักการเมืองนั้นด้วย และเป็นนักการเมืองสมัยแรกนั้นด้วย

หรือแม้แต่พอมีตำแหน่งสำคัญเป็นผู้นำแถวสองของพรรคการเมืองที่ถูกยุบอย่างอนาคตใหม่ และร้อนแรงต่อมาในนามก้าวไกลก็ตาม

ทันทีที่กลายเป็นหนึ่งในลักษณะพิเศษของประเทศนี้ ก็ถูกจับตามองด้วยความกังวลของขั้วตรงข้าม รวมทั้งความพยายามที่จะกำจัดและลดบทบาทซึ่งก็ทำโดยกระบวนการยุติธรรม ทว่า ก็เพียงการชะลอไว้ โดยความหลากหลายนั้น อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

พลันเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ต่างๆ ทั้งดีและร้ายก็เกี่ยวโยงเขาไว้ ซึ่งบางเรื่องก็มาจากขั้วตรงข้าม แต่บางเรื่องก็มาจากจริตเก่าของพิธาที่เรียกว่า “สร้างตัวตน” ซึ่งเรื่องแบบนี้ ใครๆ ก็มีกัน

แต่เรื่องแบบนี้ เมื่อบางทีก็กลายเป็นตำบลกระสุนตกสำหรับฝ่ายตรงข้าม

ซึ่งบางครั้งก็มาจากจริตของพิธาเอง ที่ทำให้เห็นว่า เขาน่ะเป็นนักการตลาดทางตัวตน ไม่ได้ผุดผ่องหรือเดียงสา และนี่คือปมเหตุที่ทำให้อัญเจียฯ หันมาศึกษาวิสัยจริตของนายพิธา ว่ามีพฤติกรรมเช่นใด?

 

นักการเมืองสายลึกที่มีจิตวิญญาณสายรากหญ้า (แต่ร่ำรวยมาก) อย่างธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แห่งคณะก้าวหน้า นั่นคือสิ่งที่นายพิธาคงถูกบดบังเป็นแน่ แต่โชคดีที่อนาคตใหม่ถูกยุบเสียก่อน

การมีตัวตนในฐานะผู้นำพรรคก้าวไกลของนายพิธา แรกๆ จึงไม่มีภาพวิถีชนชั้นล่างอย่างที่นายธนาธรสร้างไว้ในฐานะนักกิจกรรมเพื่อสังคมและเคยมีประวัติต่อสู้กับระบอบเผด็จการ

แต่นายพิธามีภาพลักษณ์ของเซเลบริตี้หนุ่มสมัยวัยรุ่น แต่งตัวไฮโซ มีความสำรวมแบบชนชั้นนำ ซ้ำเป็นนักเรียนนอก จึงโดดเด่นแนวคนบันเทิงมากกว่านักธุรกิจ ขนาดทำหน้าที่เป็น ส.ส.แรกๆ มีความสนใจเศรษฐศาสตร์การเกษตร ปราศรัยก็หลายครั้ง แต่คนก็ยังจำไม่ได้ ไม่รู้พลาดตรงไหน?

แต่แล้วมิติของนายพิธาเริ่มฉาย และ “เรียล” ไปเรื่อยๆ กอปรกับสถานการณ์/2563 การออกมาเรียกร้องการปฏิรูปสถาบันของหนุ่มสาว

นายพิธาใช้เวลากับภาพลักษณ์ที่ว่างเปล่าด้านต่อสู้ภาคประชาชน แถวสองแถวสามเรื่อยมา กระทั่งมายืนอยู่แถวหน้า จนเกือบจะเอาตัวรอดมาได้ ถ้าไม่ตกม้าตายเรื่องไทม์ไลน์ของบิดาในวันที่เขากลับมาร่วมพิธีงานศพ

นั่นเป็นครั้งแรกๆ ที่ไทม์ไลน์ของพิธา ถูกขุดคุ้ยกระจุยกระจาย และเผยให้เห็นถึงจุดอ่อนความพยายามในการสร้างแบรนด์แบบผู้ถูกกระทำของหัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งไม่ได้ประโยชน์อะไร นอกจากเข้ามุมตัวเอง

 

มองจากจุดนี้ เราเริ่มเห็นว่า พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นผู้มีความทะเยอทะยานในการผู้นำ เมื่อย้อนไปอดีตถึงแรงจูงใจด้านการศึกษา การสร้างคอนเน็กชั่น ตั้งแต่ฝึกงานการเมืองใน ครม.ของพ่อสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ทั้งหมดล้วนทำให้เขามีชัยไปกว่าครึ่ง

แต่เมื่อเข้าสู่พรรคที่มีแนวคิดปฏิรูปสังคม พิธาอยากถมอดีตของตนให้เต็ม หรือจะด้วยอะไรก็ช่างที่ทำให้เขา “สื่อสาร” การเสียชีวิตของบิดาของตนกับกับคณะปฏิวัติ

แต่นั่นล่ะ สารภาพตามความเห็นของฉัน หากประมูล ลิ้มเจริญรัตน์ ผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ บางที พิธาอาจจะไม่ได้มายืน ณ จุดนี้ด้วยซ้ำ สำหรับวิถีการเมืองแบบบ้านใหญ่ นี่อาจเรียกว่า บุญกุศลหนุนนำก็เป็นได้ ดังเห็นได้ว่า นายพิธายังสบโอกาสบริหารพรรคอย่างอิสระ เมื่อผู้นำรุ่นแรกต้องคดี ห้ามยุ่งเกี่ยวทางการเมือง

และเปิดช่องให้เขาถมความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับชัยธวัช ตุลาธน ผู้ได้ชื่อว่า ยึดมั่นต่อทฤษฎีการเมืองเพื่อปฏิรูปสังคม ซึ่งเรื่องนี้ไม่มีในหลักสูตรที่เขาไปศึกษาในสถาบันชั้นนำของสหรัฐ และนายพิธาก็เคยสารภาพในรายการสัมภาษณ์ครั้งหนึ่งว่า สิ่งที่เขาได้จากชัยธวัชตลอด 3 ปีที่ทำงานด้วยกันนั้น คือแนวคิดที่ล้ำค่ามากกว่าชีวิตทั้งหมดที่เขาร่ำเรียนมา

ถอดความได้ว่า ความเข้าใจในแนวคิดก้าวหน้าแบบผู้นำจิตวิญญาณที่เขาขาดแคลนไม่แหลมคมในตนเอง มันได้ถูกเติมเต็มโดยชัยธวัช ตุลาธน ผู้ฝ่าฟันอุปสรรคกันมา แม้ก่อนหน้านี้ นายพิธาจะเคยมีวิวาทะกับนักคิดหัวก้าวหน้าอย่างนายปิยบุตร แสงกนกกุล ซึ่งแรกๆ นั้นจะเห็นว่า พิธายังสื่อสารภาษาไทยไม่แข็งแรงด้วยซ้ำ

แต่หลังจากบทเรียนรอบด้าน เขากลายผู้มีแนวคิดเสรีนิยมก้าวหน้าที่มีศักยภาพจากทีมตัวแทนฝ่ายต่างๆ นี่เป็นลักษณะพิเศษ บวกกับการสื่อสาร ภาษากาย ภาษาพูดที่ครอบคลุมทุกระดับชนชั้น และนี่คือข้อเด่นอันแตกต่างจากผู้นำของไทยที่เคยมีมา

นายพิธาเริ่มขัดเกลาความแหลมคมอย่างเนียนๆ เรียลๆ ซึ่งเป็นข้อเด่นของคนรุ่นใหม่

นั่นหมายถึงว่า ทฤษฎีและปฏิบัติคืออาวุธที่ถูกนำไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพในประสบการณ์ระยะสั้นของการทดลองทฤษฎีการเมืองฉบับพิธา ความเป็นนักการตลาด นายพิธายังสร้างโมเดลผู้นำแก่สมาชิกก้าวไกลซึ่งแต่ละคนล้วนมีเครื่องมือสื่อสารเป็นของตนเองในการแสดงต่อสังคม

เราจึงได้เห็นนายพิธาสร้างแบรนด์ให้ตัวเองและคนในพรรค อย่างขะมักเขม้นเชี่ยวชาญ โดยไม่ต้องเทรนเนอร์หรือนักสร้างภาพอะไรให้รุงรัง ซึ่งทักษะนี้ ใช่จะมีกันได้ในนักการเมืองพรรคอื่นที่บางท่าน อาจเก่งร่ายกลอน แต่ผิดยุคเวลาเมื่อชาวเน็ตไม่อิน/เสพ

และในแง่ปฏิบัติ นายพิธาจึงเป็นเหมือนนักออกแบรนด์อินเทรนด์ ที่มวลชนส่วนใหญ่หมายใจจะทดลองจะเห็นได้ว่า นายพิธานั้นถูกจองให้เป็นทูตวัฒนธรรมและแบรนด์สินค้าตั้งแต่เพิ่งชนะการเลือกตั้งหมาดๆ และนั่นคือสาเหตุที่แบรนด์ก้าวไกลครองแชมป์เงินบริจาคมากที่สุด

นั่นหมายความว่า นายพิธาเป็นผลิตภัณฑ์มวลชน! หรือ แมสโปรดักต์!

 

สําหรับการเมืองแล้ว มันยากจะเชื่อ ผลิตภัณฑ์มวลรวมที่ว่าจะเป็นสินค้าจับต้องได้ ซ้ำสินค้าตัวนี้ยังมีพิษภัยสำหรับบ่อนแซะทำลายมูลค่า “สินค้าเก่า” ที่นับวันจะเอาต์เทรนด์

อย่างที่เล่า นายพิธาเองก่อนหน้านี้ทำการเมือง ก็มีจุดอ่อนด้านการแสดงตัวตน โดยไม่ว่าเขาจะตั้งใจหรือไม่ เมื่อสิ่งเหล่านั้นมันคือไทม์ไลน์ที่เผยให้เห็นถึงจริตของเขา ซึ่งไม่มีถูกผิดกระทั่งมันได้กลายเป็นเรื่องบุคคลสาธารณะที่ถูกขุดคุ้ยตรวจสอบ

และดูเหมือนว่า นี่เป็นความเคยชินของพิธากับสถานะดราม่า อย่างที่เคยเห็นว่า เขาเองก็เล่นกับเรื่องนี้ตั้งแต่กดไลก์ไอจีดาราดังเพียงสร้างยอดติดตามจากความคลุมเครือที่ทำให้คนพูดถึง กว่าพิธาจะทิ้งจริตการสร้างการตลาดแนวทางเซเลบริตี้ไปได้ ก็ใช้เวลาระยะหนึ่ง ถึงขั้นนักวิชาการติติง

และนี่คือจริตแบบพิธาที่พบในความเรียล!

จึงไม่แปลกใจที่ไทม์ไลน์อดีตของนายพิธาจะหลากหลายตัวตน ไม่ว่าจะเป็นความอาร์ติสต์เขียนภาพผู้หญิงกางร่ม/โคลด์ โมเนต์ ที่ใส่แคปชั่นไม่ชัดเจน เสมือนตนเป็นผู้สร้างงานต้นฉบับ

เช่นเดียวกับแคปชั่น “บ้านเก่าของคุณยาย” เมื่อ 8 ปีก่อนที่ขจรขจายตีความข้ามสร๊ก กลายเป็นว่า นายพิธามีเชื้อสายเขมรเป็นลูกหลานพระยาแบน (ต้นตระกูลอภัยวงศ์) ตามฉบับเล่าของชาวเขมร

เมื่อคุณยายนายพิธาเคยอยู่เมืองพระตะบอง ก็ถือหางมโนเอานายพิธาเป็นเครือญาติ สำหรับฝ่ายถือหางพระยาแบน ส่วนเกลียดชังก็กล่าวหานายพิธาเป็นลูกหลานกบฏแผ่นดิน ยกดินแดนให้ไทย!

ส่วนขั้วตรงข้ามที่รอเวลากำจัดนายพิธาอยู่แล้ว เช่น ขบวนการไอโอ ก็ได้ทีตีแสกหน้า

นั่นคือราคาที่ต้องจ่ายของนายพิธา สำหรับดราม่าที่ผูกโยงกับไทม์ไลน์ในอดีตกับจริตตัวตน โดยไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ แต่ไม่ถึงกับโชคร้าย เมื่อสืบไปสืบมากลายเป็นว่า เขามีศักดิ์สืบสาแหรกเป็นหลานเทียดชั้นพระยา คือ พระยาพิไชยบุรินทรา (ทิม) ส่วนชั้นทวดคือหลวงอนุรัฐนฤผดุง (แถม) ชั้นยาย (อนุศรี) ก็เป็นถึงอดีตสะใภ้สกุลอภัยวงศ์

ซ้ำชาวโซเชียลที่แห่กันหลงใหลความสวยคลาสสิคคุณยายของนายพิธา และทำให้ในที่สุด ไอโอฝ่ายจารีตก็ถอยกรูด

 

เรื่องมันก็มาหยุดเอาตรงนี้! ตรงที่ข้างบ้านเมืองเขมร ที่เริ่มมีคนหยิบประเด็นนี้ไปเล่นงานนายกฯ ฮุน มาแนต ผู้ได้ชื่อว่าเป็นลูกหลานพระน้ำพระยา สืบสานตามพงศาวดารในช่วงสมัยพระบาทองค์ด้วง

แต่เมื่อเข้าสู่ประวัติร่วมสมัย ก็เล่าลือกันว่า คือยุคพระยาแบน (อภัยวงศ์) กลับชาติมาเกิดในนาม สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเตโชฮุน เซน ผู้พ่อ และสมเด็จบวรธิบดีฮุน มาแนต ผู้ลูก!

ให้ตายเหอะ! หรือ “เขมรจารีต” ในอดีตจะย้อนกลับ?!