‘ภูมิธรรม เวชยชัย’ มองการเมือง ‘อดีต-ปัจจุบัน’ ปัดครหา ‘อุดมการณ์หายไป’

อ้วน-ภูมิธรรม เวชยชัย ได้รับความเชื่อมั่นและศรัทธาจากผลงานในอดีตเมื่อครั้งทำงานอาสาพัฒนาสังคม เป็นเอ็นจีโอที่ได้รับความเชื่อถือ เรียกได้ว่าเป็นคนเดือนตุลาที่มีอุดมการณ์คนหนึ่ง

แต่เมื่อได้รับมอบหมายให้ไปทำหน้าที่นักเจรจาจัดตั้งรัฐบาล ความพยายามอย่างสุดความสามารถของเขาในขณะนั้น ทำให้สังคมมองภาพลักษณ์เปลี่ยนไป

และถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า “ความเป็นนักอุดมการณ์หายไป”

ซึ่งประเด็นนี้รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เปิดใจด้วยน้ำเสียงซอฟต์โทน “ผมไม่ได้เป็นอย่างที่วิพากษ์วิจารณ์กัน”

พร้อมทั้งแจกแจงว่าพรรคการเมืองต่างก็อยากเป็นรัฐบาลเพื่อเข้ามาใช้ความสามารถบริหารประเทศ

“ถามว่าเราตั้งเป้าต้องเป็นรัฐบาลแน่หรือเปล่า ถ้ามาโฟกัสที่ผมแล้วมองว่าผมเปลี่ยนอุดมการณ์ ผมไม่ได้เป็นอย่างที่วิพากษ์วิจารณ์กัน ไม่ได้คิดจะต้องแย่งพรรคก้าวไกลมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ถ้าคิดแย่ง ผมมีความชอบธรรมตั้งแต่แรกแล้วที่จะไม่มาร่วมกับพรรคก้าวไกลให้เสียเวลา เพราะว่าหลักการจริงๆ ก็ไม่ได้ผิด พรรคที่รวบรวมเสียงข้างมากได้ ได้เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล นี่หลักการนะ ไม่ได้ละเมิดอะไรเลย

“ที่ผ่านมากับพรรคก้าวไกลเราไม่เคยคิดเป็นคู่แข่ง โดยส่วนตัวผมยิ่งไม่เคยคิด ถ้าคิด ผมไม่สนับสนุนให้ธนาธร (จึงรุ่งเรืองกิจ) เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จนถูก ส.ส.ในพรรคด่าแทบตาย ถ้าไม่ได้มีความสัมพันธ์หรือความยอมรับที่มีอยู่ ผมตายไปแล้ว”

“แล้วที่ผมทำอย่างนั้นก็เกิดขึ้นจากข้อเสนอของพรรคก้าวไกลเอง คนที่มาคุยกับผมคือปิยบุตร (แสงกนกกุล) บอกว่าอยากให้โอกาสก้าวไกลให้ธนาธรเป็นแคนดิเดตนายกฯ ส่วนจะได้-ไม่ได้ ไม่สำคัญ สำคัญที่ว่าได้ยกระดับฐานะของก้าวไกล”

“ถ้าผมแย่งชิงเป็นคู่แข่ง ผมไม่ให้หรอก ผมบอก ส.ส.ในพรรคว่าต้องคิดใหญ่ ต้องทำให้เขาแข็งแรง การต่อสู้เรื่องประชาธิปไตยจึงจะแข็งแรงไปด้วย แล้วระหว่างนั้นก้าวไกลขออะไร ผมให้หมด ปิยบุตรขอเป็นประธานฝ่ายกฎหมาย ผมก็ให้ ขอเป็นกรรมการพระปกเกล้า ผมก็ให้ ขอให้ธนาธรเป็นประธานกรรมาธิการที่ดิน เราก็ให้ แล้วก็ไม่เคยพูด ไม่เคยทวงบุญคุณ ไม่เคยบอกเบื้องหลังอะไรเลย”

“ครั้งสุดท้ายเรื่องกระจายอำนาจ ผมบอกว่าหลักการผมยกมือให้ แต่รายละเอียดผมไม่เห็นด้วยกับการกระจายอำนาจพร้อมกันทั้งหมดทั่วประเทศ ผมเห็นด้วยกับการกระจายอำนาจเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดในจังหวัดที่มีความพร้อมก่อน”

 

เรื่องราวของวันวานยังมีต่ออีกช่วงการขอเสียงสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ยกมือให้แคนดิเดตนายกฯ ของก้าวไกล รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเท้าความกับคำครหา “เพื่อไทยไม่ช่วยทำอะไร” ว่าเป็นเพราะก้าวไกลบอกให้ทุกพรรคไม่ต้องยุ่ง

“เมื่อคุณไม่ให้ผมจัดการ คุณจะจัดการ ก็ไปคุยเองกับทุกฝ่าย ผมไม่ได้เล่นละครนะ ตอนที่ผมคุยกับทุกคน หนู-อนุทิน ชาญวีรกูล เข้ามาดึงเกมไปเล่น แล้วเขาก็เล่นไปตามนั้น เพราะฉะนั้น สิ่งที่ผมเคลียร์วันนั้นคือเราตั้งใจจะทำให้เขาจริงๆ เพราะเขาคงทำไม่ได้ด้วยระบบคิดของเขา ความอ่อนหัดทางการเมืองเขาเยอะมาก และมองทุกอย่างเป็นเกมแบบคนรุ่นใหม่เด็กๆ ทำให้การคุยทั้งหมดไม่ประสบความสำเร็จ”

“สำหรับผมเอาง่ายๆ เมื่อเสียงเราใกล้เคียงกัน คุณเอาประมุขฝ่ายบริหารไป ผมขอประมุขฝ่ายตุลาการ ไม่ได้มีเลศนัยอะไร กระทั่งสุดท้ายที่จะให้อาจารย์วันนอร์ (วันมูหะมัดนอร์ มะทา) เป็นประธานสภา แล้วก้าวไกลกับเพื่อไทยเป็นรองประธานคนละคน แต่ไม่ เขาจะเอาหมด ผมก็ยากจะคุย”

“ถ้าถามผมวันแรกที่ผมมองพรรคก้าวไกลกับวันนี้ คือ 100 กับ 0 (ศูนย์ ) มาวันนี้ความรู้สึก ผมไม่ให้ราคา ถ้ายังเป็นแบบนี้ร่วมงานกับใครไม่ได้หรอก ผมว่าผมมองไม่ผิด”

“ถ้าจะมองผิดอย่างเดียวคือประเทศไทยพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด เขาถึงจะโตได้ ซึ่งผมไม่เชื่อว่าจะเร็ว และไม่เชื่อว่าเขาจะโต ถ้าโตแป๊บเดียวแล้วก็ไป บอกเลยผมไม่ให้เครดิต มาบอกว่ายิ่งทุบยิ่งโต ก็แค่วาทกรรม อย่าไปสนใจ…” ภูมิธรรมสะบัดเสียง

 

ก่อนจะเข้าสู่โหมดการทำงานของรัฐบาลที่ผ่านมา 6 เดือนแล้วตั้งแต่ 13 กันยายน 2566 ท่าทกลางเสียงวิจารณ์ ยังไม่เห็นอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ยิ่งนโยบายที่เคยหาเสียงกับประชาชนไว้ก็ยังไม่ได้ลงมือ หนำซ้ำมาเจอกับดักทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ต้องตะเกียกตะกายขึ้นมาจากหลุม

“การเมืองแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดา เพราะเราจะเข้ามาสู่การสร้างให้เกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลง ซึ่งกระบวนการเปลี่ยนแปลงนี้กระทบกับผลประโยชน์ของกลุ่มการเมืองเดิม ถ้าจะทำแบบก้าวไกลไม่ถึงเดือนผมว่าโดนปฏิวัติแน่นอน ส่วนเราทำแบบอันไหนที่ทำได้ก่อนก็จะทำ เช่น เรื่องรื้อที่ดินคืน นายกรัฐมนตรีบอกไม่น่ายาก ให้เลือกเป็นกรณีไป อย่างเวลานี้ไปเจรจากันบ้างแล้วเรื่องสนามกอล์ฟในดอนเมือง (สนามกานตรัตน์หรือสนามงู)”

“ทหารเขามีสนามกอล์ฟเพราะต้องการให้นายทหารได้พักผ่อน แต่ถ้าสนามไม่ดีเดินไปก็อันตราย สู้ไปหาที่ใหม่ 300-500 ไร่ โดยทางเราหาให้ แล้วอาจให้งบประมาณพันหรือสองพันล้านไปสร้างใหม่ ถามว่าแบบนี้เอาไหม? คุณสามารถไปสร้างสนามอย่างดีได้เลย เอานักกอล์ฟระดับโลกมาปั้น ถ้าเอาแบบนี้สนามกอล์ฟดอนเมืองเราขอนะ เพื่อนำมาขยายสนามบินดอนเมืองให้เป็นสนามบินอินเตอร์ ถ้าทำได้ ที่ดินแถวนั้น กิจการธุรกิจต่างๆ ที่อยู่บริเวณนั้นจะมีคุณค่า มีราคา เลยไปถึงรังสิต เศรษฐกิจก็จะโต”

“ทุกวันนี้ที่เศรษฐกิจแถวนั้นไม่โตเพราะเป็นตลาดล่าง ถ้าทำอย่างที่บอกได้จะแปลงเป็นตลาดบน นี่คือวิธีคิดของเรา ค่อยเป็นค่อยไป แล้วกองทัพอากาศก็ได้ชื่อว่าคุณมีส่วนสร้างแลนด์มาร์กใหม่เป็นแหล่งเศรษฐกิจให้เกิดขึ้น เกียรติยศคุณก็ได้ สนามกอล์ฟได้ดีกว่าเดิมอีก”

“ผมยังเชื่อ ถ้าเรายืนนโยบายภายใต้เงื่อนไขแบบนี้ในการทำงาน มุ่งมั่นจะทำให้ได้และรัฐบาลนี้ชัดเจนว่าไม่มีเรื่องคอร์รัปชั่น เราอยู่ได้ 4 ปีแน่นอน โดยเฉพาะคอร์รัปชั่นต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่ใช่ไปอุ้มขึ้นมา จริงๆ คนก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นปัญหา อย่างผมมาก็ตั้งเป้าลุยเลยหลายเรื่องที่ทำมาเป็นอีเวนต์ ยังไม่ได้แก้ปัญหาสำคัญ แต่อย่างน้อยก็ทำให้เกิดภาพประชาชนเห็นว่าเราทำงาน อย่างน้อยจะโกรธกันก็ยังเห็นว่าเราทำงาน ผมทำก่อนเลยแล้วหลังจากนั้นค่อยไปคิดแผนระยะยาว เรื่องโครงสร้างราคา เรื่องต้นทุนจะทำยังไง เพราะฉะนั้น ที่เราลุยทั้งหมดกับสินค้าทุกตัว กับทั้งของเดิม ผลออกมาก็โอเค”

“เพราะฉะนั้น ต้องเป็นธรรมกับรัฐบาล อย่าเพิ่งด่า ที่ผ่านมาเราไม่มีเงินทำงาน ไม่มีเงินค้างท่อ แล้วงบประมาณปี 2567 ก็กำลังประชุมกันอยู่ เงินยังไม่มี มีแต่ยืมล่วงหน้ามาจ่ายเงินเดือน เพราะฉะนั้น 6 เดือนที่ผ่านมามันไม่มีเงิน ที่เห็นทำๆๆ อยู่นี่คือทำในส่วนที่ไม่ต้องใช้เงิน”

“ส่วนที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานหรืออินฟราสตรักเจอร์ แค่เข้ามากระทรวงพาณิชย์เจอปัญหาต้องจ่ายเงินส่วนต่างประกันราคาข้าว 5 หมื่นกว่าล้าน ก็ตายแล้ว ผมต้องใช้วิธีให้ ธ.ก.ส.จ่ายไปก่อนรัฐบาลคืนให้ทีหลัง ส่วนโปรเจ็กต์มาย-อาโป ส่งเสริมสินค้าไทยสู่ตลาดโลกก็ไม่ได้ใช้เงินสักบาท”

“เพราะฉะนั้น ต้องให้ความเป็นธรรมกับรัฐบาล เราไม่ได้อยู่นิ่งเฉยๆ อย่างน้อยสุดก็ทำงาน จะมีประสิทธิภาพ ไม่มีประสิทธิภาพเดี๋ยวมาว่ากันอีกที”

 

นอกจากนโยบายการทำงานของกระทรวงที่สอดประสานกับรัฐบาลแล้ว นักวางยุทธศาสตร์อย่างภูมิธรรม ยังมองว่าหนทางที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยต้องเดินแนวทางปฏิรูป แต่จะยกระดับมากแค่ไหนขึ้นอยู่กับความพร้อมของประชาชน

“ก่อนผมจะเข้าป่า ผมมองว่าอีก 5 ปี ผมจะมาปักธงแดงที่สนามหลวง ตอนนี้ขอไปก่อน จินตนาการว่าต้องเข้ามากรุงเทพฯ วันนี้ผ่านมา 50 ปีแล้วยังไม่ได้ปักธงแดงเลย…” พี่อ้วน ภูมิธรรม หัวเราะลั่น แล้วว่า วันนี้ถ้ายังอยู่ในป่า ชีวิตจะเป็นยังไง”

“ฉะนั้น ผมคิดว่าพรรคถ้ายังยืนแนวทางประชาชนคือการปฏิรูป หมายความว่ามันไม่สามารถทำได้ทุกเรื่อง แต่ตั้งให้มั่น สิ่งที่สำคัญคือให้การศึกษาคนให้มาก ถ้าความพร้อมเขามีมาก คุณก็ยกระดับเขาได้ ฉะนั้น ที่เย้วๆ บอกว่าประชาชนจะลุกขึ้นมา จริงๆ ผมไม่เชื่อ ไม่ใช่ดูถูกดูแคลนพลังประชาชน แต่ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว หวังจะเป็นแบบ 14 ตุลา ไม่มีแล้ว แต่ว่าโกรธแค้นด่าผ่านโซเชียลแบบนั้นมี ผมไม่ว่า จะด่าก็ด่า”

“ผมว่าทั้งหมดประเทศไทยมันมีอำนาจแฝง เราต้องยอมรับ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ทุกการเปลี่ยนแปลงมีคนได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ คนเสียประโยชน์ฝ่ายอำนาจนิยมมีหลายกลุ่มหลายก๊วน ซึ่งเขามีอำนาจจริงๆ แอบสั่งอะไรได้หมด ผมพูดจริงๆ นะ เพียงแต่ว่าอย่าไปตกหลุมให้เขากระทืบ หลุมคอร์รัปชั่นเอย การแก้คอร์รัปชั่นมันแก้ไม่ได้ แต่คนในพรรคอย่าไปเป็นตัวหลัก ถ้าโดนแล้วช่วยอุ้มกันก็..ิบหาย ถ้าเป็นพรรคร่วมต้องคิดเยอะ ไม่ทำอะไรก็ไม่ได้ ถ้าทำอะไรไปก็เป็นรัฐบาลผสมที่ง่อนแง่น อยู่ที่บริหารคนยังไง”

 

สิ่งหนึ่งที่รัฐมนตรีพาณิชย์-ภูมิธรรม เห็นว่าการทำงานของรัฐบาลจะทำได้หรือไม่ได้ สำเร็จหรือไม่สำเร็จ คือ “การคิดนอกกรอบ” ที่ไม่เดินซ้ำรอยเดิม เช่น เรื่องรถไฟความเร็วสูง เรื่องของแลนด์บริดจ์ หลายฝ่ายรวมทั้งนักวิชาการบอกว่าไม่คุ้มค่าและทำไม่ได้ สำหรับภูมิธรรมแล้ว “ผมไม่เชื่อ ผมไม่คิดแบบเขา”

รัฐมนตรีพาณิชย์อธิบายว่าได้คุยกับนักธุรกิจหลายคนเขาซื้อไอเดียหลายเรื่อง

“วันนี้คุณทำรถไฟฟ้า สิ่งที่ทำคือเริ่มต้นจากหัวลำโพงแล้วค่อยๆ สร้างไป ผมคุยกับนายกฯ เศรษฐา คุยกับนักธุรกิจ แทนที่จะสร้างจากกรุงเทพฯ ไป ก็สร้างจากหนองคายมาที่อุดรฯ มาขอนแก่น สั้นๆ เปิดหนองคาย คนจีนเข้ามาเที่ยวได้ สินค้ามาลงได้ เป็นเมืองท่องเที่ยว พัฒนาให้เติบโตไปได้ทั่วอีสาน เหนือ ไม่ต้องเข้ากรุงเทพฯ เมื่อมีคนมามากๆ ขยายต่อไปโคราช ภาคอีสานเส้นทางโลจิสติกส์ยังกะใยแมงมุม สร้างมาถึงโคราชตรงนี้เกิดได้เลย จีดีพีเกิด ถ้าคิดอย่างนี้มันเป็นไปได้ แต่ถ้านั่งจมอยู่กับสิ่งเคยทำมา มันไม่เกิด เป็นไปไม่ได้…”

ในฐานะถูกวางตัวเป็นคีย์แมนผู้จัดการรัฐบาล “อ้วน ภูมิธรรม” ให้ความเห็นเรื่องปรับ ครม. ว่ายังไม่มีสัญญาณ “ถ้าจะมีก็เป็นสัญญาณจากนายกฯ คนเดียว ถ้าเขาไม่แฮปปี้ อันนี้ห้ามไม่ได้ แต่ที่คุยกันที่ผ่านมา ยังไม่มี”

เมื่อถามถึงพรรคประชาธิปัตย์ โอกาสจะเข้าร่วม ครม.มากน้อยแค่ไหน ผู้จัดการรัฐบาลกล่าวว่า ประชาธิปัตย์อยู่ในสมการ หมายความว่าถ้ามีการปรับถึงจะได้พิจารณา แต่ถ้าไม่มีการปรับก็ไม่อยู่ในสมการ

“ขีดเส้นใต้ชัดเจน เขาอยู่ในสมการหมายความว่าในระหว่างนี้เราช่วยกันได้ เขาทำประโยชน์ให้ประชาชนได้ ก็ทำ เราผ่านประสบการณ์อะไรมาจนเราเข้าใจ ไม่งั้นยืนไม่ได้”

“พรรคเพื่อไทย พรรคไทยรักไทย ผมเป็นคนเก่าแก่ที่สุดคนเดียว ตั้งแต่ตั้งพรรคผมโดนปฏิวัติมาสองครั้ง ทหารชวนผมทำพรรคการเมืองทั้งสองครั้ง ผมไม่เอาเพราะยอมรับในสิ่งที่ทหารทำไม่ได้ แล้วจะให้ผมไปปรักปรำทักษิณ ชินวัตร ผมไม่ทำ เขาจะผิดจะถูกคุณว่าไปเอง แต่สำหรับผม เขาไม่มีอะไร”