‘สวีเดน’ พ่อ ‘เพลงป๊อป’ ทุกสถาบัน

บทความพิเศษ | จักรกฤษณ์ สิริริน

 

‘สวีเดน’ พ่อ ‘เพลงป๊อป’ ทุกสถาบัน

 

ไม่เพียง “สวีเดน” จะใช้ Export Music Sweden “สถาบันดนตรี” ที่ช่วยอำนวยความสะดวกแก่นักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ และค่ายเพลงต่างๆ ให้สามารถ “ส่งออกดนตรี” ไปยังตลาดต่างประเทศเท่านั้น

แต่ “สวีเดน” มีรากฐานดนตรีที่ยาวนานไม่แพ้อังกฤษ อเมริกา หรือยุโรปชาติอื่นๆ

ทุกวันนี้ แม้ “สวีเดน” จะมี Ludwig G?ransson โปรดิวเซอร์สุดคูล เจ้าของรางวัล “แกรมมี่” ผู้โด่งดัง ทว่า ก่อนหน้านี้ “สวีเดน” มี Max Martin โปรดิวเซอร์คุณภาพที่ได้รับการยอมรับระดับโลก

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “สวีเดน” มี Denniz Pop โปรดิวเซอร์ระดับอ๋อง ผู้วางรากฐานงานดนตรีให้กับ Max Martin และ Ludwig G?ransson ในปัจจุบัน

ภายใต้กฎ Jantelagen ที่เข้มงวด ซึ่งหมายถึง การ “ปล่อยให้ศิลปินเป็นศิลปิน”

ไม่ยกตนข่มท่าน ไม่คิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น ไม่ยกหางตนเอง ป่าวร้องก้องโลกว่าตัวเองเก่ง ไม่คุยโม้โอ้อวด

นี่คือแนวคิดการทำงานของ “โปรดิวเซอร์ชาวสวีเดน” ทั้งมวล

 

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเบื้องหลังอีกสองสามประการ ที่ทำให้ “สวีเดน” เป็น “พ่อ” แห่ง “เพลงป๊อป” ทุกสถาบัน อันประกอบไปด้วย

คนสวีเดนเรียนรู้ และสื่อสารผ่านภาษาอังกฤษได้ดีกว่าเพื่อนบ้านสแกนดิเนเวียน หรือยุโรปชาติอื่น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนสวีเดนชอบฟังดนตรี และตามติดชิดกระแสเพลงโลกอยู่ตลอดเวลา

ที่สำคัญก็คือ คนสวีเดนแอบขอเป็นต้นแบบให้กับชาติอื่น

 

ทว่า หากกล่าวในแง่ศิลปิน และผลงานเพลงแล้ว ต้องยอมรับว่า “สวีเดน” เป็นหนึ่งในประเทศผู้บุกเบิก “วงการดนตรีป๊อป” ของโลกมาอย่างยาวนาน นับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1940 เป็นต้นมาจวบจนปัจจุบัน

ที่ถือเป็นหนึ่งในยุคทองของ “ศิลปินสวีเดน” ไม่ว่าจะเป็น Johanna S?derberg และ Klara S?derberg สองศรีพี่น้องแห่งวง First Aid Kit

หรือจะเป็น Laleh Pourkarim เป็นศิลปินหญิงลูกครึ่งสวีเดน-อิหร่าน และ Lykke Li รวมถึง Robyn ศิลปินหญิงแนว Indy-Pop ผู้โด่งดังแห่งยุค

ดังที่กล่าวไป “สวีเดน” เป็นหนึ่งในประเทศผู้บุกเบิก “วงการดนตรีป๊อป” ของโลกมาอย่างยาวนาน นับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1940

ประเดิมด้วย Charlie Norman เจ้าของฉายา “บรรพบุรุษของดนตรี Jazz แนว Boogie-Woogie” ผู้บุกเบิกทศวรรษแห่ง Jazz ทั้งของ “สวีเดน” และแวดวง Jazz โลก

ตามมาติดๆ ด้วย Hep Stars วง Rock & Roll เจ้าของฉายา The Beatles หรือ “สี่เต่าทอง” แห่ง “สวีเดน” ในยุคทศวรรษ 1960

 

Hep Stars สร้างปรากฏการณ์ทางดนตรีทั้งใน “สวีเดน” และในวงการ Rock & Roll ของโลก ด้วยการใช้ส่วนผสมของ R&B (Rhythm and Blues) ผ่านการเรียบเรียงเสียงประสานใน Sound แบบ Motown

ออกมาเป็น “ร็อกเล็กเล็ก” สไตล์ The Beach Boys เจือกลิ่น Psychedelic เบาๆ เพียงเท่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ Hep Stars บันทึกอยู่บนหน้าประวัติศาสตร์ดนตรี ทั้งของสวีเดน และของโลก

โดยต้องไม่ลืมว่า หนึ่งในสมาชิกสำคัญของ Hep Stars ผู้ที่ต่อมาเป็นหนึ่งในศิลปินแห่งประวัติศาสตร์โลกในนามวง ABBA

เขาผู้นั้นมีนามว่า Benny Andersson

Benny Andersson พาวงการเพลงสวีเดน และแวดวงดนตรีโลก เข้าสู่ยุคทองของ Disco ร่วมกัน ด้วยการก่อตั้งวง ABBA ในทศวรรษที่ 1970

 

เคียงคู่กับดนตรี Hard Rock “สวีเดน” เป็นผู้นำ Dansband เพลงเต้นรำสไตล์ท้องถิ่นสวีเดน ที่ผสมผสานระหว่าง Swing Jazz และ Pop Rock เข้าด้วยกัน

Dansband เป็นที่นิยมมากในไนต์คลับทั่วสแกนดิเนเวีย นำโดยวง Thorleifs, Flamingokvintetten, Ingmar Nordstr?ms, Wizex และ Matz Bladhs

พลันเมื่อ Benny Andersson ลาออกจากวง Hep Stars เขาได้ชักชวน Bj?rn Ulvaeus มือกีตาร์วง Hootenanny Singers

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศรีภรรยาของทั้งคู่ นั่นคือ Anni-Frid Lyngstad และ Agnetha F?ltskog ก่อตั้งวงดนตรีที่สร้างปรากฏการณ์ให้กับโลกใบนี้ในเวลาต่อมา

นั่นคือ วง ABBA

 

บทเพลง Dancing Queen จากอัลบั้มชุดที่ 4 ที่มีชื่อว่า Arrival ของ ABBA ซึ่งออกวางจำหน่ายในปี ค.ศ.1976 ได้กลายเป็น “เพลง Dance แห่งชาติ” ข้ามยุคข้ามสมัย มาจนถึงปัจจุบัน

Dancing Queen เป็นเพลงแรกของ ABBA และวงการดนตรีสวีเดน ที่สามารถไต่ขึ้นชาร์ตอันดับ 1 ทั้งในอังกฤษ และอเมริกา รวมถึงชาร์ตเพลงประเทศชั้นนำอีกกว่า 10 ประเทศทั่วโลก

โดยทุกวันนี้ อัลบั้มรวมฮิต ABBA Gold ที่มีเพลง Dancing Queen ทำยอดขายตลอดกาลมากถึง 30 ล้านแผ่น ยืนบนชาร์ตอัลบั้มขายดีแบบไม่มีแผ่ว

ส่งผลให้ ABBA เป็นสัญลักษณ์ของวงดนตรียุค Disco ครองโลก

และ Dancing Queen เปรียบเสมือน “เพลงชาติของนัก Dance” ที่ได้รับการเปิดในผับ บาร์ และไนต์คลับทั่วโลก จากปี 1976 จนถึง ค.ศ.2024 ในปัจจุบัน

 

ต่อจาก ABBA วงการเพลง “สวีเดน” ไม่ร้างไร้ซุป’ตาร์ เมื่อ 5 หนุ่มแห่งวงการร็อกสวีเดนที่ชื่อ Europe นำพา Soft Rock ออกเขย่าบัลลังก์ร็อกทวีปยุโรป และอาณาจักรร็อกโลกด้วยบทเพลง The Final Countdown ในปี ค.ศ.1986

ที่ทุกวันนี้ The Final Countdown ได้กลายเป็น “เพลงประจำ Event” ของโลกไปแล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนับถอยหลังในพีธีเปิดงานต่างๆ ที่ล้วนเรียกใช้บริการของ The Final Countdown กันนับตั้งแต่ ปี 1986 จนถึง ค.ศ.2024 ในปัจจุบัน เช่นเดียวกับ Dancing Queen

เคียงข้างวง Europe “สวีเดน” มีวง Roxette อีกวงหนึ่งซึ่งเป็นที่เชิดหน้าชูตาจากยอดขายตลอดกาล 45 ล้านชุด

Roxette วงดูโอป๊อปร็อก ประกอบด้วยสมาชิก 2 คนคือ Per Gessle และ Marie Fredriksson นำเพลงสวีเดนไปโด่งดังในฮอลลีวู้ดมาแล้ว กับเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Pretty Woman

 

และที่ตาม Roxette มาติดๆ ก็คือ Ace of Base วงที่ผสมผสานดนตรีเร็กเก้เข้ากับบีทแบบ Euro-Pop ภายใต้การโปรดิวซ์ของ Denniz Pop โปรดิวเซอร์มือทองของวงการเพลงสวีเดน

Denniz Pop เป็นเจ้าของ Cheiron Studios ที่นอกจากจะเป็นสถานที่ผลักดัน Ace of Base ให้ก้าวไกลในระดับโลกแล้ว

Cheiron Studios ยังเป็นสถานที่สร้างสรรค์ผลงานเพลงของ Britney Spears, Backstreet Boys และ Boyzone อีกด้วย

หลังยุคทองของ Denniz Pop ทายาททางดนตรีที่อาสาขึ้นมาสานต่อความสำเร็จให้กับวงการเพลงสวีเดน คือโปรดิวเซอร์รุ่นใหม่ที่เป็นศิษย์ก้นกุฏิของ Denniz Pop

เขาคนนี้มีชื่อว่า Max Martin

เจ้าของผลงานโปรดิวซ์ให้กับ NSYNC, BoyzIIMen, Public Enemy, Shania Twain, Katy Perry และ Taylor Swift

ภายใต้แรงสนับสนุนของ Export Music Sweden “สถาบันดนตรี” ที่ช่วยอำนวยความสะดวกแก่นักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ และค่ายเพลงต่างๆ ให้สามารถ “ส่งออกดนตรี” ไปยังตลาดต่างประเทศ

นำโดยวง Indie-Pop ชื่อดังของสวีเดน และของโลก ไม่ว่าจะเป็น The Cardigans, The Wannadies, Cloudberry Jam, Popsicle หรือ Eggstone

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Refused, The Soundtrack of Our Lives, Dr. Alban, The Hives, Mando Diao, The Knife, Love is All หรือจะเป็น Club 8, Acid House Kings, The Legends และ The Radio Dept. ที่นักฟังเพลงบ้านเรารู้จักดี

โดยในปัจจุบัน Axwell, Steve Angello และ Sebastian Ingrosso ในนาม Swedish House Mafia โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Avicii ซุป’ตาร์ดีเจชื่อดังระดับโลกผู้ล่วงลับ ได้ร่วมกันนำดนตรี EDM (Electronic Dance Music) สัญชาติสวีเดน ทะลวงชาร์ตเพลงชั้นนำของโลกมาแล้วในทศวรรษ 2010

 

ในทศวรรษ 2020 ที่เดินทางมาแล้ว 4 ปี วงการดนตรีสวีเดนก็ยังเดินหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ในฐานะประเทศผู้ส่งออกส่งออกโปรดิวเซอร์

ไปยังลอสแองเจลิส แทนการเดินทางมายัง Cheiron Studios ในสวีเดนเฉกเช่นในอดีต ซึ่งในขณะนี้ มีโปรดิวเซอร์สัญชาติสวีเดนหลายต่อหลายคน ได้ปักหลักสร้างสรรค์งานดนตรีอยู่ที่สหรัฐอเมริกา

ที่แม้ว่าในภาพรวม สีสันดนตรีของสวีเดนจะแผ่วลงไปบ้าง แต่เชื่อได้ว่า อีกไม่นาน พวกเขาจะกลับมาเขย่าโลกอีกครั้งอย่างแน่นอน!