หนังสือเรียนสำหรับเด็ก (๒๑๔)

ฟ้า พูลวรลักษณ์

บทความพิเศษ | ฟ้า พูลวรลักษณ์

 

หนังสือเรียนสำหรับเด็ก (๒๑๔)

 

วรรณกรรมเอกของจีน ทั้งสี่เรื่องคือ

ความฝันในหอแดง

สามก๊ก

ไซอิ๋ว

ซ้องกั๋ง

งานทั้งสี่นี้ ได้รับการยกย่องเป็นอย่างสูง เรียกว่าเป็นคลาสสิคของจีน

ความน่าสนใจอยู่ที่ว่า หากเรามองวรรณกรรมทั้งสี่นี้ผ่านสายตาของชาวตะวันตก เราจะเห็นคนจีนอีกแบบหนึ่งทันที ต่างกับที่พวกเขามองตัวเอง

การเปรียบเทียบนี้มีคุณค่ามาก ยังจะมีอะไรมีคุณค่ากว่านี้อีก การได้มองตัวเองผ่านสายตาคนอื่น

 

ฉันเคยอ่านวรรณกรรมทั้งสี่มาตั้งแต่เด็ก ในต้นฉบับภาษาจีน แต่แล้วในวัย ๗๑ ปี ฉันกลับมีความสุขในการอ่านพวกมันใหม่หมด ในฉบับภาษาอังกฤษ และเปรียบเทียบ สิ่งที่ฉันเห็นคือความแตกต่างอย่างเหลือเกิน

เริ่มจาก ความฝันในหอแดง

ตัวเอกคือ ป้อเง็ก ตัวละครตัวนี้คนจีนทุกคนจะรู้จัก และฉันคล้ายเขามาก ด้วยฉันมีย่ารักและตามใจจนเสียคน แต่มองจากมุมมองของชาวตะวันตก ก็ยังตกตะลึงอยู่ดี

เขาเป็นคนมีพรสวรรค์ แต่ทว่าเสื่อม เป็นคนโรคจิต และอ่อนแอ ไม่เข้าสังคม และคล้ายผู้หญิง มีปมด้อย และมีอารมณ์แปรปรวน เขาอาจมีความสามารถจะรวบรวมพลังงานในการทำงานบางอย่าง แต่ทว่าจะล้มเหลว ภายใต้ความเป็นจริง และหลบลี้หนีหน้าจากสังคมมนุษย์

ฉันมีสิทธิจบชีวิตแบบเดียวกับเขา หรือเหมือนตัวเขาเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ แต่ทว่า ชีวิตย่อมลึกซึ้งกว่านั้น ฉันก็อาจแตกต่างกับเขาได้ในที่สุด อย่างคาดไม่ถึง แต่นั่นเป็นเรื่องส่วนตัวของฉัน ฉันกำลังคิดถึงคนจีนทั้งประเทศ และมุมมองที่พวกเขามองตัวเอง กับมุมมองที่ชาวตะวันตกมองพวกเขา มันแตกต่างกัน อย่างละเอียดอ่อน บางสิ่งเรียกได้ว่า กระชากกันเลย ตบหน้ากัน บางอย่างมันรุนแรง ไม่ปรานี

แต่นี้เป็นข้อดีของชาวตะวันตก พวกเขาเป็นอารยธรรมที่แข็งแกร่งเป็นอันมาก และมันไม่ได้มาง่ายๆ มันก็ผ่านการต่อสู้อย่างยาวนาน วิธีการคิดของพวกเขาลึกซึ้ง น่าฟัง

 

คนจีนไม่มองป้อเง็กร้ายอย่างนั้น จะมองเขาในแง่ดีเสียส่วนใหญ่ เพราะเขาเป็นพระเอก เป็นวิญญาณของนิยายเรื่องนี้ เขาเป็นคนมีเมตตา อ่อนโยน ในยุคสมัยที่มีการกดขี่ทางเพศ เป็นคนเห็นคุณค่าของเพศหญิง และต่อต้านระบบอนุรักษ์ เช่น การเชื่อฟังในลัทธิขงจื๊ออย่างไม่ลืมหูลืมตา ในแง่นี้เขาเป็นนักปฏิวัติตัวน้อย

รวมความคือ คนจีนจะเน้นเรื่องจิตวิญญาณ ฝรั่งมองแบบวัตถุนิยม

แต่มุมมองของฝรั่งก็ตรง และจริง มันควรมองผสมกัน หรือควรเน้นไปทางฝรั่ง สักหกสิบหรือเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์

แต่ทว่า วรรณกรรมความฝันในหอแดง เขียนขึ้นในปี 1791 ซึ่งเป็นยุคสมัยของพระเจ้าเฉียนหลง ซึ่งเป็นยุคทองยุคสุดท้ายของราชวงศ์ชิง เพราะนับจากนั้นมา ราชวงศ์ชิงก็เสื่อมลงอย่างรวดเร็ว ในรัชสมัยของเต้ากวง เริ่มจากปี 1820 ถึง 1850 แผ่นดินจีนเริ่มโดนชาติตะวันตกเบียดเบียนเข้ามาในทุกทิศทาง ความฝันในหอแดง อาจมองได้ว่า เป็นความฝันของคนจีนในยุคราชวงศ์ชิงที่ยังรุ่งเรือง และก้าวเข้าสู่ความเสื่อมในที่สุด นี้คือความฝันครั้งสุดท้าย

และป้อเง็กก็คือความหลงฝันครั้งสุดท้ายของราชวงศ์ชิง

 

หากเราถอยมามองดู เราจะเห็นภาพที่น่าตื่นตะลึง แต่คนในยุคนั้นจะมองไม่เห็น สำหรับพวกเขา ชีวิตช่างดีอะไรเช่นนี้ ยังสนุกสนาน ยังมัวเมาในอารยธรรมของตัวเอง ยังแต่งบทกวี ร้องเพลง เต้นรำ และสนุกกันเอง ภายในบ้านหลังใหญ่ วันแล้วก็วันเล่า คล้ายจะเป็นอย่างนี้เป็นนิรันดร งานศพยังใหญ่โต งานวันเกิดยังสุดจะหรูหรา พิธีกรรมต่างๆ ยังยาวเหยียด ยังหึงหวง เง้างอน น้อยใจ ภาคภูมิ สารพัดความเหลวไหล

แต่ที่จริง หายนะกำลังคืบคลานเข้ามา เพียงแต่มันยังรอเวลาอีกไม่กี่ปี มันมาจากต่างชาติ จากนี้ไป คนจีนจะตกเป็นทาส เป็นสุนัข เป็นชนชั้นต่ำในสายตาชาวโลก นานเป็นร้อยๆ ปี

ถูกชั่งกิโลขาย

 

คอนเซ็ปต์ของคนจีนที่มองตัวเอง ที่จริงก็คือการมองแบบไม่สนใจอนาคต ไม่รับรู้ถึงมหันตภัยใหญ่หลวง ที่ใกล้จะมาถึง

แม้แต่ ความฝันในหอแดง บทที่หนึ่ง ที่เล่าต้นกำเนิดของป้อเง็ก เขาเกิดมาจากก้อนหิน ที่เจ้าแม่หนี่วา ผู้เป็นเทพธิดาแห่งสรวงสวรรค์ของคนจีน ได้คัดเลือกหินก้อน ๓๖,๕๐๑ ก้อน เพื่ออุดรูรั่วของท้องฟ้า แต่ในนั้นมีอยู่ก้อนหนึ่งที่มีตำหนิ เจ้าแม่จึงทิ้งมันไป

หินที่ผ่านมือของเจ้าแม่จนเกิดจิตวิญญาณ มีชีวิต แต่มีปมด้อย ด้วยรู้สึกตัวเองไร้ค่า เขามาเจอดอกไม้ต้นหนึ่ง และชอบมัน จึงคอยช่วยรดน้ำต้นไม้นี้ จนดอกไม้นั้นเบ่งบานยาวนานกว่าที่ควร

และต้นไม้นี้ก็ซาบซึ้งใจในความดีของหินก้อนนี้ จึงตั้งปณิธานว่า หากได้เกิดเป็นมนุษย์ เธอจะตอบแทนเขาด้วยหยาดน้ำตา เท่าปริมาณน้ำค้างที่หินก้อนนี้เคยพรมให้ตัวเธอ

แน่ละ นี้คือต้นกำเนิดของป้อเง็ก และหยกดำ นางเอกของเรื่อง ที่กลายเป็นโศกนาฏกรรมของ ความฝันในหอแดง มันถูกปูเรื่องไว้อย่างนี้ ซึ่งเหลวไหลมาก แต่นี้คือวรรณกรรมของจีนโบราณ เขียนขึ้นมาในหลายร้อยปีก่อน พวกเขาไม่อาจเริ่มเรื่องแบบสัจนิยม เหมือนคนสมัยนั้น ไม่อาจแต่งตัวด้วยเสื้อยืด กางเกงยีนส์ เพราะหากทำเช่นนั้น ก็จะรู้สึกเหมือนเปลือยเปล่า ไม่ได้ใส่เสื้อผ้า พวกเขาจำเป็นต้องสวมใส่เสื้อผ้าในยุคของเขา ซึ่งก็คือความรุ่มร่ามทางจิต

บทแรกๆ ของ ความฝันในหอแดง จึงเหมือนไซอิ๋วเลย เป็นเทพนิยาย มหัศจรรย์พันลึก และนี่เป็นเรื่องของจิตล้วนๆ

เป็นนรกสวรรค์ เป็นชะตาชีวิตที่ถูกกำหนดไว้แล้ว จนไม่มีทางใดจะดิ้นหนี

มีลัทธิเต๋า ลัทธิพุทธ ลัทธิขงจื๊อ มากมายอัดเข้ามา

สิ่งนี้คือความอ่อนแอ ความเหลวไหล แต่ทว่ามันจำเป็น เรื่องจะเริ่มเข้มข้น เมื่อดำเนินไปข้างหน้า สู่ปมเด่นของเรื่อง ที่มากมายไปด้วยรายละเอียด ทั้งในการบรรยายสภาพแวดล้อม และจิตวิทยา มากมายด้วยตัวละครที่โดดเด่น คนเป็นร้อยเหมือนมีตัวตนอยู่ข้างหน้า มีเลือดเนื้อ และนี้ต่างหากคือความโดดเด่นของวรรณกรรมเรื่องนี้ ที่ทำให้มันกลายเป็นอมตะ ช่างเขียนได้ดีอะไรเช่นนั้น

แต่มันไม่อาจทิ้งจุดอ่อนของตัวมันไปได้ ความเป็นยี่เกยังแทรกอยู่เป็นระยะๆ เสื้อผ้ายังระยิบระยับไปด้วยความโบราณ และสำนวนหลายตอนก็เชยเหลือเกิน จนอยากมุดดินหนี

 

แต่อ่านแบบเข้าใจ ก็ยอมรับ ยอมรับมันทั้งในข้อดีและข้อด้อย ด้วยรู้ประวัติศาสตร์ ความเป็นไปของประเทศจีน และของโลก

ฉันคิดถึงข้อความในนิยายของเซอร์แฮกการ์ด เขาเล่าว่า

ชนเผ่าอบาติ ไม่ชำนาญในการต่อสู้ อุดมการณ์ของพวกเขาไม่เข้มแข็งพอจะช่วยให้พวกเขาเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้หมายถึงอะไร ต่างพากันหลงระเริงกับชีวิตประจำวัน และพอใจกับสิ่งแวดล้อม ที่เป็นความสนุกสนานเพียงวงแคบ อย่างคนลืมตัว

บ้านเรือนของพวกเขากลายเป็นเถ้าถ่าน ตัวพวกเขาเองต้องทรมาน หญิงและเด็กถูกลากตัวเอาไปเป็นทาส คนจนและคนพิการถูกทิ้งให้อดตาย เพราะหิวโหย ท่ามกลางทุ่งนาที่ถูกไฟเผา หรือไม่ก็กลายเป็นชาวป่าเร่ร่อน ไปตามป่าเขา ตามยถากรรม

สิ่งเหล่านี้ทั้งหมด พวกเขาพากันมองเหมือนเป็นนิยาย ที่สร้างขึ้นตามบทกวี ที่มีการเล่าซ้ำในช่วงเย็นของฤดูอันชื่นฉ่ำ เป็นเรื่องราวคลุมเครือ และห่างไกล แม้ชาวฟุงในขณะนี้ กำลังมาเยือนที่ปากประตูแล้ว

 

มันสะเทือนใจ เพราะโลกของเราทุกวันนี้ ก็เป็นเช่นนี้ โลกของเรา ถูกคุกคาม ด้วยสภาวะโลกร้อน ที่จะส่งผลอย่างใหญ่หลวง มันคือความเสื่อมสลายครั้งใหญ่ของมนุษยชาติ

มันคือโควิด คูณด้วยร้อย

มาเป็นระลอกๆ มาในทุกทิศทาง

แต่มนุษย์ก็ยังติดในโอลด์นอร์มอล ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด หรือเปลี่ยนแปลงน้อยมาก

ฉันเห็นน้องสาวของแฟนของฉัน จัดงานวันเกิดของเธอ ถึงสองครั้ง ครั้งแรกจัดกับพี่น้องและพ่อแม่ แต่เพราะวันนั้นหลานสองคนไม่ได้มา เพราะติดเรียน เธอจึงจัดอีกครั้งสองวันต่อมา เพื่อเอาใจหลาน และชวนพี่น้องกับแม่มาอีกหน เธอทำไปแบบไม่ได้คิด และกินอาหารแบบไม่ได้คิดอีกเช่นกัน

อาหารที่เธอกินก็กินไม่ได้ เพราะมันมากไปด้วยไขมัน

และมันเท่ากับบังคับให้พ่อแม่ที่ป่วยไข้ ต้องกินอาหารแบบนี้ด้วย ซ้ำกันสองหน

ในขณะที่โลกของเราคับขันขึ้นไปเรื่อยๆ

มนุษย์ยังคงจัดงานวันเกิด ยังจัดปาร์ตี้อย่างไร้ความคิด ไร้จิตสำนึก

แต่มันก็เป็นเช่นนี้ ทั่วทั้งโลก ตราบใดที่พวกเขาไม่โดนกระทำ โดนกระหน่ำ

พวกเขาก็จะยังเพลิดเพลินในบันเทิงแบบนี้ โดยไร้ความคิด ไร้จิตสำนึก

นี้คือ Destiny ของมนุษย์

เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลง แก้ไขอะไรมันได้

นี้เป็นมหากาพย์ ที่ต้องดำเนินไปจนจบ

ไม่ว่าตอนจบจะเป็นหายนะแบบไหน รันทดปานใด