รัฐบาลอัดยาแรงดันเที่ยวไทยคึกคัก วงการภาวนา ‘อย่าสะดุดขา’ ล่ม เพียงเพราะหวั่นความปลอดภัย

(Photo by Lillian SUWANRUMPHA / AFP)

หนึ่งในผลงานของรัฐบาล “เศรษฐา” กับนโยบายเชิงรุกในการเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตมากยิ่งขึ้น คือ การกดปุ่มปลดล็อกข้อจำกัดในการเดินทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทย

หลังจากได้อำนวยความสะดวกในการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวไทย ผ่านมาตรการด้านวีซ่า อย่างการให้วีซ่าฟรีกับนักท่องเที่ยวจากจีน คาซัคสถาน อินเดีย ไต้หวัน และรัสเซีย ได้สิทธิพำนักในไทยสูงสุด 90 วัน จากเดิม 30 วัน นักท่องเที่ยวมาเลเซียได้สิทธิยกเว้นยื่นแบบ ตม.6 ณ ด่านตรวจคนเข้าเมืองสะเดา จังหวัดสงขลา

ส่งผลให้ทั้งปี 2566 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวไทย 28 ล้านคน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว 1.2 ล้านล้านบาท ซึ่งจากการเดินทางที่ยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ หากไม่มีวีซ่าฟรีเข้ามาช่วยดัน จำนวนต่างชาติคงไม่ถึง 28 ล้านคน ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้แน่นอน

จากความคาดหวังใช้มาตรการวีซ่าฟรี จะส่งผลต่อเนื่องมาถึงปี 2567 ทำให้รัฐบาลมีเป้าหมายสร้างรายได้รวมจากภาคการท่องเที่ยวไทย ทั้งตลาดต่างชาติและไทยเที่ยวไทย อยู่ที่ 3.5 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจำนวน 35 ล้านคน สร้างรายได้ 2.3 ล้านล้านบาท และนักท่องเที่ยวไทยเที่ยวไทยจำนวน 200 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้ 1.2 ล้านล้านบาท ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยวต้องวางแผนทำงานกันอย่างหนัก

เพื่อให้สามารถเดินไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ รัฐบาลได้ทุ่มทุกสรรพกำลัง ล่าสุดได้ประกาศให้วีซ่าฟรีถาวรระหว่างไทยและจีน เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว รวมถึงการค้าและการลงทุนด้วย ซึ่งแน่นอนว่าเศรษฐกิจไทยจะได้อานิสงส์เชิงบวกอย่างมากมาย หากทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้

เนื่องจากคนจีนมีความนิยมชมชอบประเทศไทยเป็นอย่างมาก สะท้อนจากการเข้ามาท่องเที่ยวกว่า 11 ล้านคน เมื่อปี 2562 ก่อนเกิดโควิด-19 และแม้ปี 2566 รัฐบาลจีนจะเน้นส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศเป็นหลัก ทำให้คนจีนออกมาเที่ยวต่างประเทศน้อยลง ทั้งยังมีวิกฤตเศรษฐกิจในจีนด้วย แต่ก็ยังเห็นจีนกลับเข้ามาเที่ยวไทยถึง 3.5 ล้านคน

แม้จะต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ในหลัก 5-7 ล้านคนช่วงต้นปี 2566 ก็ตาม

(Photo by Lillian SUWANRUMPHA / AFP)

เมื่อประเมินแล้วพบว่า วีซ่าฟรีมีผลทำให้นักท่องเที่ยวชาติที่ได้รับวีซ่าฟรีไป เข้ามาเที่ยวไทยเป็นจำนวนมากกว่าคาดไว้นั้น รัฐบาลก็เดินหน้าศึกษาการใช้มาตรการด้านวีซ่า เพื่อสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องทันที

ขณะนี้ได้ผลักดันการเจรจายกเว้นวีซ่าเชงเกน ของสหภาพยุโรป ที่อนุญาตให้สมาชิกในกลุ่มสามารถเดินทางระหว่างกันโดยไม่ต้องถือหนังสือเดินทางในประเทศที่เป็นภาคีข้อตกลง

ส่วนประชาชนจากประเทศนอกกลุ่มเชงเกน โดยเฉพาะคนไทย สามารถเดินทางระหว่างประเทศเชงเกนได้ โดยต้องขอใบอนุญาตเชงเกน หรือเชงเกนวีซ่า เพื่อเข้าประเทศในกลุ่มเชงเกนได้ ซึ่งมีทั้งหมด 27 ประเทศ

โดยเมื่อปี 2566 หนึ่งในประเทศเชงเกนที่เข้ามาเที่ยวไทยมากที่สุด เป็นนักท่องเที่ยวชาวเยอรมัน ที่เข้ามากว่า 700,000 คน นำภาพรวมประเทศในยุโรป

นอกจากนี้ ยังเริ่มเจรจากับสหราชอาณาจักร รวมถึงมีนโยบายยกเว้นวีซ่าให้กับคาซัคสถาน ไต้หวัน อินเดีย ตลอดจนยกเว้นวีซ่านักธุรกิจญี่ปุ่นเป็นเวลา 30 วัน และเร่งให้วีซ่าระยะยาว เพื่อดึงดูดผู้มีทักษะสูงให้เข้ามาทำงานในไทย ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาร่วมกับประเทศต่างๆ เหล่านั้น

รวมทั้งยังผลักดันวีซ่าไทยให้สามารถเที่ยวร่วมกับกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) และมาเลเซีย ได้ด้วย เพื่อส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงระหว่างกัน

(Photo by Mladen ANTONOV / AFP)

เรียกได้ว่าสิ่งที่ทำได้ก็ทำไปหมดแล้วสำหรับรัฐบาลไทย หากเปรียบเทียบเป็นหมอกำลังรักษาคนไข้ตอนนี้ ก็คงถือว่าอัดยาแรงทุกขนาน หวังปั๊มหัวใจคนไข้ให้กลับมาใช้ชีวิตได้ยืนยาวมากกว่าเดิม

แต่ความท้าทายของภาคการท่องเที่ยวไทย เป็นโจทย์ที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้ คาดเดาล่วงหน้าไม่ได้ แถมยังต้องลุ้นระทึกเมื่อเห็นโจทย์ข้อใหม่เกิดขึ้นด้วย หนีไม่พ้นเรื่องความปลอดภัย

หลังจากปี 2566 ประเทศไทยอยู่ระหว่างการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว ที่กำลังไต่ระดับเดินหน้าได้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ต้องสะดุดลงเป็นระยะๆ เช่นกัน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับข่าวเชิงลบของเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้น แม้บางเหตุการณ์จะไม่เป็นความจริง หรือไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศไทยตามที่เป็นกระแสข่าวหนาหูหนาตาในโลกออนไลน์ก็ตาม แต่ด้วยกระแสที่พัดโหมกระจายไปอย่างรวดเร็ว ผลกระทบเชิงลบจึงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นับตั้งแต่มีภาพยนตร์จีน 2 เรื่องดังที่ถูกฉายในจีน สร้างรายได้แบบถล่มทลาย ซึ่งส่งผลต่อทัศนคติชาวจีนที่มีต่อจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวในอาเซียนโดยตรง เพราะมีเนื้อหาพูดถึงคดีอาชญากรรมในอาเซียน เรื่องแรก คือ Lost in The Star ชื่อเรื่องภาษาไทยคือ เมียผมหายในหมู่ดาว สร้างรายได้กว่า 3,500 ล้านหยวน หรือประมาณ 17,500 ล้านบาท บาท เรื่องที่สอง คือ No More Bets สร้างรายได้กว่า 3,700 ล้านหยวน ประมาณ 18,500 ล้านบาท

ผลกระทบที่เกิดขึ้นยังไม่ทันจางหายไปในความรู้สึกของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่อ่อนไหวกับประเด็นเรื่องความปลอดภัย ไทยก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นอีกครั้ง เมื่อมีการกราดยิงในห้างสรรพสินค้าดังใจกลางเมือง ซึ่งเป็นแหล่งช้อปปิ้งฮอตฮิตติดอันดับต้นๆ ของนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วย

ซึ่งช่วงที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ก็ประจวบเหมาะกับไทยประกาศให้วีซ่าฟรีจีนพอดิบพอดี ทำให้เห็นสถิติตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนที่ควรเข้ามาเที่ยวไทยในวันชาติจีน ที่เป็นวันหยุดยาวพิเศษของจีน และนิยมไปเที่ยวต่างประเทศมากที่สุด ลดฮวบลงทันที แม้ก่อนหน้านั้นจะเห็นตัวเลขพุ่งขึ้นได้ดีก็ตาม

ตอกย้ำว่าประเด็นเรื่องความปลอดภัย มีผลต่อการตัดสินใจเข้ามาท่องเที่ยวสูงมาก

ศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) ระบุว่า กระแสข่าวเชิงลบในปี 2566 ยังมีอยู่ แม้ลดลงไปเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่ได้จากหายไปจนหมด ทำให้การฟื้นความเชื่อมั่นในด้านความปลอดภัยคืน ถือเป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการ เนื่องจากการมีข่าวเชิงลบ แม้ว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่เกิดขึ้นจริงก็ตาม แต่การกระจายไปในโลกออนไลน์ ก็จะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและภาพลักษณ์ของประเทศไทยอย่างแน่นอน

โดยมองว่ารัฐบาลควรจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเพื่อตอบโต้กับกระแสข่าวเชิงลบ หรือข่าวปลอมในโลกออนไลน์ เป็นการเคลื่อนไหวให้รวดเร็ว เพื่อไม่ให้กระแสเชิงลบแพร่กระจายออกไปจนเกิดผลกระทบในวงกว้างเกินเหตุเหมือนปีที่ผ่านมา

จากความร้อนแรงของปีกระต่ายที่ถอดบทเรียนได้มากมาย หวังว่าปีมังกรทองนี้จะไม่ซ้ำรอยเดิม