ศัลยา ประชาชาติ : สมคิด “ลุ้น” ก้าวพ้นบ่วงเศรษฐกิจ หวังปีแห่งการโกยคะแนน ทหาร-นักการเมือง win win

ดัชนีชี้ขาด การอยู่-การไปของรัฐบาล คสช. ยังอยู่ที่ปัจจัยทางเศรษฐกิจและปากท้องของผู้มีรายได้น้อย อันเป็นฐานเสียงสำคัญสำหรับทุกพรรค

เมื่อระฆังการเมืองดังขึ้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ประกาศปี 2561 เป็นปีที่เตรียมทางไปสู่ประชาธิปไตย

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ คิด-วิเคราะห์-แยกแยะ ภารกิจรัฐบาลและพรรคการเมือง

เขาบอกในส่วนของรัฐบาล จะเป็นปีแห่งการบริการคนจน-อัดฉีดเงินทุกเม็ดลงสู่ชุมชน

“ในส่วนของพรรคการเมือง เมื่อได้ยินเสียงระฆังดังเก๊ง…ยกที่ 1 ถ้าสมมุติเราเป็นพรรคเพื่อไทยเราต้องคิดอะไร พรรคประชาธิปัตย์คิดอะไร ทุกพรรคต้องคิดดักหน้า ไม่อย่างนั้นไม่ได้เสียง เป็นเรื่องปกติ เขาเลือกตั้งก็ต้องเอาชนะไว้ก่อน”

ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ที่ “สมคิด” บอกว่าเป็นหัวใจในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจรัฐ-ประชารัฐ 1.ภาคเอกชน ภาครัฐ ภาคประชาชน ต้องใช้แนวเศรษฐกิจพอเพียงเป็นตัวหลัก 2.ประชารัฐ โฟกัสที่เกษตรฐานราก เชื่อว่าภายใน 1 ปีก่อนเลือกตั้ง ถ้าทำงานจริงจังจะเห็นความเปลี่ยนแปลง

มาตรการที่สำคัญอย่างยิ่งในปี 2561 คือ 1.การปฏิรูปการเกษตร กำลังทำ ไม่ใช่แค่พูด 2.ตอบสนองความต้องการของคนชั้นกลาง ขับเคลื่อนเศรษฐกิจอนาคต โดยเฉพาะ Start up

“ทั้งหมดเรียกว่าโครงการประชารัฐเพื่อการปฏิรูปการเกษตรและยกระดับความเข้มแข็งของเศรษฐกิจระดับรากหญ้า ทำให้ราคาสินค้าเกษตรดีขึ้น”

 

ชีวิต “สมคิด” ที่เมืองไทย คลุกวงในกับกลุ่มเจ้าสัวและทายาทเจ้าของธุรกิจระดับหมื่นล้าน ยามเดินสายไปทำงานต่างประเทศเขามีกลุ่มแกนนำพ่อค้า-ประชารัฐตามติด

“ไม่มีช่วงเวลาไหนที่นักลงทุนต่างชาติมั่นใจในประเทศไทยเท่าช่วงเวลานี้ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะช่วงหลังที่เกิดความวุ่นวายเมื่อ 3-4 ปีที่ผ่านมา บีโอไอตั้งเป้าการลงทุนจากต่างประเทศ 6 แสนล้านบาท เฉียดใกล้เป้าหมาย เติบโตพลิกขึ้นมาค่อนข้างดี”

“ถ้าสัมผัสหัวใจจากนักลงทุน ทั้งญี่ปุ่นและจีน เข้ามาเมืองไทยเยอะจริงๆ ดูจากยอดจองส่งเสริมการลงทุนทุกพื้นที่ ในโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จะเห็นภาพชัดเจน”

“ผมคิดว่านักลงทุนไทยฉลาดนะ เขากำลังดูทิศทางลมโดยเฉพาะยักษ์ใหญ่ที่ไปลงทุนในอาเซียนทั้งหลาย เขาเริ่มลงทุนในประเทศไทยมากขึ้นแล้ว เช่น ค่ายเซ็นทรัล ไทยเบฟ สหพัฒน์ หรือกลุ่มอสังหาฯ ที่ไปลงทุนที่อื่นเยอะๆ กำลังจะโหมโรงลงไทยในไทย”

 

ปีที่ผ่านมา “สมคิด” ชี้ว่าเป็นปีที่รัฐบาลวางพื้นฐานสำหรับอนาคต เหมือนหว่านพืช รดน้ำพรวนดินไว้ ปี 2561 จะเป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยว เช่น

1. อินเตอร์เน็ตหมู่บ้าน

2. Prompt-pay e-payment เป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากและไม่ใช่เรื่องง่าย ถือว่าเป็นผลงานชิ้นโบแดงของกระทรวงการคลังในยุคนี้

3. การลงทุน Mega-project ที่อั้นมานาน ปี 2561 จะเร่งทะลวงให้เร็วขึ้น ได้แก่ โครงการ EEC ซึ่งเป็นตัวที่แข่งขันกับเวียดนาม และฮ่องกง-จีน, ญี่ปุ่น กำลังขยายการลงทุนเข้ามา ในประเทศรถไฟรางคู่ 5 เส้นทาง 13 สัญญา มูลค่า 9.5 หมื่นล้านบาท

“การช่วยเหลือ SMEs โดยธนาคารของรัฐ ทั้งเอสเอ็มอีแบงก์ ขณะนี้ค่อนข้าง Full stem ธนาคารออมสิน ไม่ขยายสาขาแต่ขยายรถเคลื่อนที่ 1,000 คัน บริการในพื้นที่ลำบาก ที่ดีใจ คือ ธนาคารกรุงไทย เริ่มเป็นหลักให้กับชาวบ้านได้ ขณะที่ Exim bank ต้องปรับโครงสร้าง เน้นปล่อยสินเชื่อเพื่อเปลี่ยนผู้ส่งออกรายย่อย”

“ผมเรียกปี 2560 ว่า เป็นช่วงก้าวพ้นจากบ่วงที่ผูกมัดขาเรามานานและหว่านเมล็ดเพื่ออนาคตข้างหน้า พอเริ่มปี 2561 ผมเชื่อมั่นว่า สถานการณ์หลายอย่างดีขึ้น จะเป็นปีที่ riding the wave คือ กระแสความเจริญมาที่เอเชียแน่นอน ไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่จะขี่กระแสนี้เพื่อทะยานไปสู่อนาคตข้างหน้า”

“ฉะนั้น ใครจะบอกว่าขาลง ผมมองต่างกัน ถ้าเรามีกำลังใจคิดในมุมบวก จะเป็นปีที่ประเทศไทย Take off ได้”

ยอดการส่งออกจะเป็นไปตามเป้าอย่างแน่นอน เมื่อทุกอย่างดีขึ้น ตลาดหุ้นก็จะดีขึ้น ตอนนี้ 1,700 จุด ปี 2561 จะดีขึ้นกว่านี้

 

ทุกมาตรการ “สมคิด” เปิดว่า “เราพร้อมที่จะร่วมมือกับทุกพรรคการเมืองช่วยให้ทุกภูมิภาคเจริญขึ้นมา เป็นสิ่งที่เราตั้งใจเอาไว้”

นักการเมืองวิเคราะห์กันว่า ปีหน้าสารพัดปัจจัยการเมืองจะกระแทกให้รัฐบาลเสียหลัก “สมคิด” ส่ายหน้า ตอบว่า “ไม่มีเสียหลัก ขาผมดี ปีหน้าผมเชื่อว่าสิ่งต่างๆ ที่เอื้อขึ้นมา ถ้าเราไม่เหยียบตาปลากันเสียก่อน”

ข่าวประชารัฐ และ “พรรคทหารใหม่” ที่ไม่ล้มเหลวเหมือนประวัติศาสตร์อดีต จะเป็นการผนึกแน่นระหว่างนายทุนรุ่นใหม่ ความคิดทันสมัย นามสกุลเก่าแก่ และอาจมีสมาชิกราชตระกูล ไม่เป็นศัตรูกับพรรคการเมือง มี “สมคิด” อยู่ในวงโคจร

“สมคิด” บอกว่าเขาไม่อยากเป็นตำบลกระสุนตก แต่ “ผมยินดีที่จะตกเป็นเป้าอยู่แล้ว เพราะผมไม่ได้ทำอะไร ผมทำงานของผม ถ้าไม่ดีผมก็รับผิดชอบอยู่แล้ว ถ้าดีท่านนายกฯ ก็ได้ดี ไม่ใช่ผม ทำงานให้สุดแล้วกลับบ้านก็จบ”

การเลือกตั้งมีแน่ แต่ไทม์ไลน์ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย “ท่านนายกรัฐมนตรีท่านเป็นทหาร ต้องการรักษาคำพูด แต่ประเทศต้องอยู่รอดด้วย ขึ้นอยู่ที่ความพอดี ตามสถานการณ์ แต่โรดแม็ปไปแน่นอน เราอยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย ยังไงก็ต้องเลือกตั้ง แต่ต้องพอดี ทุกคน win-win นโยบายทั้งหลายอย่าถูก disrupt เพราะเราเชื่อว่าถ้าการเมืองปกติ สิ่งที่รัฐบาลนี้ได้ทำไปเกิดขึ้นได้ยากมาก”

“ระบอบประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ดี การเมืองจะไปดีได้เศรษฐกิจก็ต้องดี ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี การเมืองไม่ดีแน่ โอกาสทางการเมืองของแต่ละฝ่ายขึ้นอยู่กับสถานะทางเศรษฐกิจทั้งสิ้น ฝ่ายที่ต้องการมีอำนาจก็ต้องเล่นทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ เป็นเรื่องปกติ”