เผยแพร่ |
---|
สถานีคิดเลขที่ 12 | สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร
ก้าวหน้า-ก้าวหลัง
กรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ รอดพ้นจากกรณี “หุ้นไอทีวี”
สร้างแรงกระเพื่อม ในหลายด้าน
อยากโฟกัส สัก 2 ด้าน
ด้านแรก สืบเนื่องจาก คำแถลง ของ ดร. ฟรังค์-วัลเทอร์ ชไตน์ไมเออร์ ประธานาธิบดีสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ที่มาเยือนไทยอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 25 มกราคม ที่ผ่านมา
ที่นอกจากกล่าวถึงความร่วมมือในด้านต่างๆ แล้ว
ยังพูดเกี่ยวเนื่องถึงการเมืองด้วย
โดยยินดีถึงความก้าวหน้าของประชาธิปไตยไทย
“ช่วงเวลานี้ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ประเทศไทยเพิ่งผ่านการเลือกตั้งซึ่งมีคนไทยออกมาใช้สิทธิ์ถึง 75% เป็นตัวเลขที่สะท้อนถึงความเข้มแข็งในระบอบประชาธิปไตยในโอกาสนี้จึงขอกล่าวแสดงความยินดี กับการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและอวยพรให้สมัยของท่านเป็นสมัยที่ประสบความสำเร็จ”
แต่ที่น่าสนใจ ประธานาธิบดีเยอรมัน ยังกล่าวอีกว่า
“ผมยินดีสำหรับข่าวคำพิพากษาของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล คิดว่าคำพิพากษาที่ออกมาเป็นสัญญาณที่ดีของการดำเนินไปในทิศทางที่ดีของประเทศไทย”
หลังจากนั้นยัง “พบปะ”นายพิธา อย่างไม่เป็นทางการอีก
การให้น้ำหนักต่อกรณีนายพิธา นี้
ไม่ว่าจะเป็นความสนใจของประธานาธิบดีเยอรมัน เอง
หรือเป็นการทำการบ้านของคณะทำงาน ก็ตาม
แต่สะท้อนว่าเยอรมัน ที่ถือเป็นต้นแบบประเทศประชาธิปไตย หนึ่งของโลก ให้ความสำคัญต่อกรณีนายพิธา อย่างมาก
ซึ่งอาจตีความ “ก้าว-ไกล”ไปถึงการให้ความสนใจต่อบุคคลและพรรค ที่ประชาชนเสียงส่วนใหญ่ แสดงเจตจำนง ให้เป็นตัวแทนของตนเอง เข้าไปบริหารประเทศ ตามหลักประชาธิปไตย แต่มิอาจก้าวไปถึงจุดนั้นได้
แม้จะเป็น”เงื่อนไขภายใน”ของเรา
แต่เยอรมันและชาติประชาธิปไตยก็จับตามอง
และไม่ลังเลที่จะกล่าวถึง เมื่อปรากฏความคืบหน้าในเชิงบวกตามครรลองประชาธิปไตย
ซึ่งนี่ย่อมทำให้ฝ่าย”ก้าวหน้า”และ”จารีต”ในไทย ต้องคิดเหมือนกันว่า ทำไมเยอรมัน จึงให้น้ำหนักกรณีนี้
เขาหวังจะเห็น”ความก้าวหน้า”ของประชาธิปไตยไทยมากกว่านี้ใช่หรือไม่
ประเด็นที่สอง ที่อยากโฟกัส ในกรณีนายพิธา
นั่นคือที่ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตีความ”โดยเคร่งครัด” กรณีการถือหุ้นสื่อ ของนักการเมือง
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญระบุว่า “การถือหุ้นเพียงหุ้นเดียว ย่อมเป็นการถือหุ้นตามความหมายในรัฐธรรมนูญแล้ว แม้ผู้ถือหุ้นจะไม่มีอำนาจบริหารหรือครอบงำกิจการก็ตาม”
ตีความตามนี้ นักการเมืองจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ไม่มีสิทธิจะถือหุ้นสื่อแม้แต่หุ้นเดียว ใครฝ่าฝืนย่อมมีสิทธิ ถูก”ประหารทางการเมือง”ทันที
ถือเป็นบรรทัดฐาน ที่ผูกพันทุกองค์กร นับจากนี้ไป
ซึ่งก็มีคำถามที่น่าพิจารณา
นั่นคือแม้เราจะมีมาตรการแข็งแกร่งไม่ให้นักการเมืองถือหุ้นสื่อโดยหวังว่าจะไม่ให้มีการครอบงำหรือใช้สื่อเพื่อประโยชน์ของตน
อาจจะจริงตาม”นิตินัย”
แต่ในทาง”พฤตินัย”เรายังมีความจำเป็นที่จะต้องเข้มงวดอย่างยิ่งต่อกรณีหรือไม่
เพราะในปัจจุบัน แม้นักการเมืองจะไม่มีหุ้นสื่อแม้แต่หุ้นเดียว
แต่กลับสามารถใช้สื่อโดยเฉพาะโซเชียลมีเดีย ผ่านรูปแบบต่างๆไม่ว่าเฟสบุ๊ค ยูทูบ เอ็กซ์ ติ๊กต็อก ฯลฯ ได้อย่างเสรี ไร้ขอบเขต และแทบจะ”เรียลไทม์”
ทำได้มากกว่าการเป็นผู้ถือหุ้นสื่อหลายร้อยหลายพันเท่า
การมานั่งเข้มงวดเรื่องถือหุ้นสื่อเพียงหุ้นเดียว จึง”ก้าวถอยหลัง”อย่างยิ่ง
รัฐธรรมนูญที่ห้ามเรื่องนี้ไว้ จำเป็นต้องถอดรื้อแล้วใช่หรือไม่
นี่เป็นสิ่งที่คนไทยต้องร่วมกันคิดและลงมือแก้ไข
เราควรจะ”ก้าวหน้า” ไม่ใช่”ก้าวถอยหลัง”มิใช่หรือ
—————