‘วิกฤตการณ์บ้านโป่ง’ : เกือบจะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว (3)

ณัฐพล ใจจริง

เมื่อกองทัพญี่ปุ่นตัดสินใจสร้างทางรถไฟจากไทยไปยังพม่า โดยรัฐบาลไทยยินยอมให้สร้างได้ตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายน 2485 กองทัพญี่ปุ่นจึงได้ขนเชลยศึกชาวตะวันตกที่จับกุมได้ในสมรภูมิที่มลายู สิงคโปร์มาเป็นแรงงานในการสร้างทางรถไฟ โดยมาตั้งค่ายเชลยศึกใกล้วัดดอนตูม บ้านโป่ง ราชบุรี ญี่ปุ่นได้สร้างค่ายทหารและค่ายเชลยศึก ณ บริเวณนั้น (วรยุทธ์ สุวรรณฤทธิ์, 2554, 24)

ญี่ปุ่นขุดสนามเพลาะกลางพระนครตั้งรับทหารไทย

กรรมกรไทยบนรถข้างต่ำกำลังเดินทางไปรับจ้างทำทางรถไฟ

“วิกฤตการณ์บ้านโป่ง” หรือเหตุการณ์ทหารญี่ปุ่นตบพระไทย (18 ธันวาคม 2485) ก่อให้เกิดการปะทะกันระหว่างกรรมกรไทยกับทหารญี่ปุ่นที่ศาลาวัดดอนตูม การปะทะกันระหว่างตำรวจไทยกับทหารญี่ปุ่น การหลบหนีของกรรมกรไทยจากค่ายพร้อมรื้อถอนหมุดตอกรางรถไฟ เกิดการชุมนุมของกรรมกรไทยในบริเวณรอบๆ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทหารญี่ปุ่นกับคนไทยในแถบนั้นเลวร้ายลงมาก

การเผชิญหน้าระหว่างกันบานปลายถึงขนาดที่ทหารญี่ปุ่นในพระนครได้เตรียมความพร้อมรับมือการปะทะกับฝ่ายไทยอีกด้วย อันสังเกตเห็นได้จากกองทัพญี่ปุ่นในพระนครสั่งการให้ขุดสนามเพลาะแถบโรงเรียนอาชีวะปทุมวัน และบริเวณจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอันเป็นบริเวณที่ตั้งหน่วยทหารญี่ปุ่น อีกทั้งในช่วงนั้นทหารญี่ปุ่นปฏิเสธคำเชิญจากฝ่ายไทยไปร่วมงานเลี้ยงทั้งหมดเลยทีเดียว (โยชิกาวา โทชิฮารุ, 2539, 145-146)

รัฐบาลไทยตั้งกรรมการสอบสวน “วิกฤตการณ์บ้านโป่ง”

จอมพล ป. นายกรัฐมนตรี ผบ.ทหารสูงสุด และ พล.ท.จรูญ เสรีเริงฤทธิ์

ภายหลังวิกฤตการณ์บ้านโป่งสงบแล้ว ฝ่ายไทยจัดประชุมร่วมสอบสวนไทย-ญี่ปุ่นขึ้นเมื่อ 20 ธันวาคม 2485 แต่ผลปรากฏว่าต่างฝ่ายต่างอ้างว่าฝ่ายตรงข้ามเริ่มยิงก่อนทำให้ทหารญี่ปุ่นเกิดความหวาดระแวงว่าไทยอยากต่อสู้กับทหารญี่ปุ่น (โทชิฮารุ, 145-146)

ในสมุดสั่งการของจอมพล ป.ให้ร่องรอยถึงนโยบายของรัฐบาลไทยไว้ว่า เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม จอมพล ป.สั่งการให้หน่วยทหารในพื้นที่รักษาความสงบ อย่าปล่อยทหารที่ลาพักไปแถบบ้านโป่งหรือแถบที่ตั้งของทหารญี่ปุ่นชั่วคราวก่อนว่า “รอให้สงบ และอย่าพูดเรื่องนี้ให้มากต่อไป จะเป็นภัยแก่ชาติ ขอให้เชื่อฉันเด็ดขาด เหตุใหญ่จะตามมาถ้าไม่ช่วยกันรักษาความสงบ และให้ถอนทหารจากบ้านโป่งให้หมดจนกว่าจะสั่งเปลี่ยนแปลง อนึ่ง ในเวลานี้ให้ถือการจะให้ทั้งสองฝ่ายคืนดีต่อกันเป็นสำคัญ อย่าไปค้นว่าใครเป็นฝ่ายผิดต่อไปเลย ขอให้มีความอดทนไว้ เราเป็นประเทศเล็ก หวังว่าจะฟังที่ฉันสั่งนี้ และชี้แจงให้ทราบทั่วกัน” (อนันต์ พิบูลสงคราม, เล่ม 1, 2540, 294)

อย่างไรก็ตาม จากการสอบสวนร่วมกันนั้น ฝ่ายญี่ปุ่นยืนยันว่าไทยเป็นฝ่ายลงมือก่อน ฝ่ายไทยจึงได้ส่ง พล.ท.จรูญ รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ ไปขอขมาต่อผู้บัญชาการรถไฟอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม

ส่วนในด้านคดีความนั้น ญี่ปุ่นยังเรียกร้องให้ประหารชีวิตผู้ก่อเรื่องทั้งหมดอีกด้วย

ในวันที่ 28 ธันวาคม จอมพล ป.แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีวิกฤตการณ์บ้านโป่งของฝ่ายไทยขึ้นโดยเฉพาะ ประกอบด้วยนายตำรวจนายทหารชั้นผู้ใหญ่ 5 คน ประกอบด้วย พล.ต.จอน โชติดิลก พล.ต.ต.ดวง รามอินทรา พ.ท.อัมพร ศรีไชยยันต์ พ.ต.อนันญญ์ อุนหเลขกะ และนายอัมพร จินตกานนท์ (ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, 2553. 469)

ในรายงานของคณะกรรมการชุดนี้แตกต่างตรงกันข้ามกับผลสอบสวนของญี่ปุ่น จอมพล ป.บันทึกความเห็นลงไปในท้ายรายงานด้วยว่า “การที่ทะเลาะกันนั้น ตามเสียงมาจากญี่ปุ่นฝ่ายเดียวอย่างท่านว่า มีการตบหน้า ชักดาบขู่ เมาและเข้าไปพาลเกเรต่างๆ ถ้าเขาทำให้หายไปได้คงไม่มีเรื่องอะไรเลย” สิ่งที่จอมพล ป.ติดใจจากเหตุการณ์ คือ คนญี่ปุ่นลบหลู่วัฒนธรรมไทย ลบหลู่พุทธศาสนาและพระสงฆ์ที่คนไทยให้ความเคารพเป็นที่สุด (โทชิฮารุ, 147)

ทหารญี่ปุ่นตรวจการณ์บนรางรถไฟ

ภายหลังเหตุการณ์แล้ว เมื่อ 5 มกราคม 2486 ทางกองทัพญี่ปุ่นส่งทูตทหารบกไปสนทนาเรียนรู้วัฒนธรรมไทยจากพระมหาสนิท เขมจารี ทั่งจันท เจ้าคณะแขวงอำเภอบ้านโป่ง ในประเด็นประเภทของการบวช ข้อห้ามที่ไม่พึงปฏิบัติแก่คนไทย เช่น ไม่แสดงการดูหมิ่นพระสงฆ์และสามเณร เช่น เอามือลูบศีรษะพระภิกษุ (ชาญวิทย์, 470-475)

วิกฤตการณ์บ้านโป่งกระทบกระเทือนต่อความสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่นเป็นอย่างมากจนอาจจะเป็นอุปสรรคต่อการสร้างทางรถไฟสายไทย-พม่าที่มีกำหนดต้องแล้วเสร็จใกล้เข้ามา ทำให้นายพลโตโจ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เป็นห่วงเรื่องนี้มาก ด้วยเหตุนี้ ทางโตเกียวจึงได้ตัวส่ง พล.ท.นากามูระ เข้ามารับตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพญี่ปุ่นประจำไทยเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2486

ก่อนมารับตำแหน่งในไทย นายพลนากามูระได้รับคำเตือนจากนายดิเรก ชัยนาม เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงโตเกียวว่า การตบหน้าเป็นจุดบอดของความสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่น คนเอเชียอาคเนย์โดยเฉพาะคนไทย ถือว่าการตบหน้าเป็นการหลู่เกียรติอย่างรุนแรง พวกเขาจะยอมสู้ถึงตาย

ด้วยเหตุนี้ เมื่อนายพลนากามูระ ผู้บัญชาการกองทัพญี่ปุ่นมาประจำไทยแล้ว จึงมีคำสั่งห้ามเด็ดขาด ไม่ให้กองทัพใช้การลงโทษคนไทยด้วยการตบหน้าและศีรษะอีกต่อไป อีกทั้งกองทัพญี่ปุ่นยังทำคู่มือเรียนรู้วัฒนธรรมไทยแจกจ่ายให้ทหารในกองทัพ รวมทั้งแจกจ่ายให้นายทหารคนใหม่ที่จะมาประจำการในประเทศไทยด้วย (โทชิฮารุ, 149)

นายพลฮิเดกิ โตโจ นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นในครั้งนั้น

ต่อมา ในเดือนมีนาคม 2486 มีการยกฐานะกองอำนวยการคณะกรรมการผสมขึ้น เป็นกรมประสานงานพันธมิตรไทย-ญี่ปุ่น โดยมี พ.อ.ไชย ประทีปะเสน เป็นเจ้ากรม เขาได้รายงานถึงการดำเนินคดีวิกฤตบ้านโป่งต่อจอมพล ป.พิบูลสงคราม มีข้อความตอนท้ายเมื่อ 29 เมษายน 2486 ไว้ว่า

“อนึ่ง มีทางที่จะช่วยเหลืออยู่ก็คือ ไม่ให้คนพวกนี้ต้องถูกประหารชีวิต เพราะกฎหมายของเราไม่อำนวย และแม้จะถูกตัดสินจำขังตลอดชีวิตก็ตาม สภาพการจำขังหรือระยะเวลาย่อมอยู่ที่เรา และโยงถึงชะตากรรมของประเทศเกี่ยวข้องกับญี่ปุ่น…”

จอมพล ป.ได้บันทึกต่อท้ายแนวทางนี้ไว้ในรายงาน ด้วยการชี้ทางแก้ตัวให้ด้วยว่า “ทราบแล้ว ให้เอามาขึ้นศาลทหารที่กรุงเทพฯ ขอไม่ให้ประหาร เพราะเข้าใจผิด เวลาค่ำคืน” (โทชิฮารุ, 149)

ด้วยเหตุที่ฝ่ายญี่ปุ่นเรียกร้องฝ่ายไทยประหารชีวิตทหารและกรรมกรไทยที่เกี่ยวข้องกับวิกฤตการณ์บ้านโป่ง แต่การสอบสวนของฝ่ายไทยกลับได้ผลสรุปตรงข้ามกับญี่ปุ่น เหตุการณ์นี้จึงทำให้ความสัมพันธ์ไทยญี่ปุ่นเสื่อมทรามลง จวบกระทั่งทางโตเกียวส่งนายพลนากามูระมาบัญชาการกองทัพญี่ปุ่นในไทยเพื่อบรรเทาการเผชิญหน้ากัน ทำให้ความตึงเครียดเริ่มผ่อนคลายลง

พล.ท.อาเคโตะ นากามูระ
พ.อ.ไชย ประทีปะเสน และนายดิเรก ชัยนาม