ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 2 - 8 กุมภาพันธ์ 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | จ๋าจ๊ะ วรรณคดี |
ผู้เขียน | ญาดา อารัมภีร |
เผยแพร่ |
เห็นคำว่า ‘หักทองขวาง’ ครั้งแรกจาก “นิราศพระบาท” ตอนอ่านหนังสือให้คุณย่าฟัง
“เจ้าเณรน้อยเสด็จมาดูน่ารัก พระกลดหักทองขวางกางถวาย
พี่เหลียวพบหลบตกลงเจียนตาย กรตะกายกลิ้งก้อนศิลาตาม”
สมัยยังเด็ก คิดตามประสาเด็กว่าผู้ใหญ่ช่างใจร้าย เห็นเป็นเด็กเลยเอาพระกลดหรือร่มทองหักๆ จะพังมิพังแหล่มากางกันแดดให้
กว่าจะรู้ว่าไม่ใช่อย่างที่คิดก็ช่วงเป็นนักเรียนมัธยม
จำได้ว่าคุณครูอธิบายคร่าวๆ ว่า ‘หักทองขวาง’ เป็นวิธีการปักผ้าชนิดหนึ่ง ก็ไม่ได้สนใจอะไร ปล่อยผ่านเลยไปหลายปี จนเมื่ออ่านวรรณคดีหลายเรื่อง และพบคำนี้บ่อยๆ ถึงได้ลองค้นตำรับตำราดู
“พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน” ให้ความหมายคำว่า ‘หักทองขวาง’ ว่า
“วิธีปักไหมทอง หักเส้นไปตามขวางลาย ใช้ปักเครื่องสูง”
ศาสตราจารย์วิบูลย์ ลี้สุวรรณ ให้รายละเอียดเกี่ยวกับ ‘เครื่องสูง’ ไว้ใน “พจนานุกรมศัพท์ศิลปกรรมไทย” ดังนี้
“เครื่องแสดงและประดับพระราชอิสริยยศของพระมหากษัตริย์ ประกอบด้วยฉัตร 5 ชั้น ฉัตร 7 ชั้น บังแทรก ฉัตรชุมสาย จามร พระกลด บังสูรย์ พัดโบก”
“นิราศพระบาท” กล่าวถึง ‘เจ้าเณรน้อยเสด็จมาดูน่ารัก พระกลดหักทองขวางกางถวาย’ หมายถึงพระองค์เจ้าวาสุกรีขณะทรงผนวชเป็นเณร (เป็นพระโอรสองค์ที่ 28 ของรัชกาลที่ 1 ในกาลต่อมาคือ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส) เจ้าพนักงานได้กางพระกลดที่มีลวดลายจากการปักที่เรียกว่า ‘หักทองขวาง’ ถวาย เป็นวิธีการปักที่มีลักษณะเฉพาะตามที่ “พจนานุกรมผ้าและเครื่องถักทอ” ของศาสตราจารย์วิบูลย์ ลี้สุวรรณ ให้ความกระจ่างว่าเป็น
“กลวิธีการทำลวดลายบนผืนผ้าด้วยการปักด้วยดิ้นเงิน ดิ้นทอง วางเรียงเส้นดิ้นให้ขวางตัวลาย เพื่อให้ดิ้นยึดเกาะผ้าได้แน่นไม่แตกหรือแยกจากกัน”
ทั้งยังให้รายละเอียดเกี่ยวกับ ‘ผ้าปักหักทองขวาง’ ว่า
“ผ้าที่ใช้ด้ายยึดตรึงดิ้นเงินหรือดิ้นทอง ท้ายลายหักทบไปมาในลักษณะขวางตัวลาย อาจหนุนด้วยด้ายโดยไม่ปักเส้นด้ายไหมทองลงบนผืนผ้า แต่ตรึงด้วยด้ายในส่วนหัวและท้ายลาย มักใช้สอยหลายประเภท เช่น ย่ามพระชั้นผู้ใหญ่ พัดยศ เครื่องสูง เครื่องแต่งกายโขนละคร เป็นต้น”
ในบทละครรำเรื่อง “อิเหนา” บรรยายราชรถทรงของท้าวปันจะรากันที่มีพระกลดใช้วิธีการปักแบบเดียวกัน
“เครื่องสูงรายเรียงเคียงข้าง พระกลดหักทองขวางด้ามถม
กลองชนะแตรสังข์ดังระงม พ้นนิคมแว่นแคว้นแดนพารา”
ไม่ต่างกับตอนที่ท้าวปักมาหงันไปรับท้าวปันจะรากัน ท้าวล่าสำเข้าเมือง กวีบรรยายว่า
“เมื่อนั้น ท้าวปันจะรากันชาญสมร
ทั้งท้าวล่าสำฤทธิรอน ต่างองค์บทจรขึ้นทรงรถ
จึงให้เดินพยุหบาตรยาตรา เลิกทศโยธามาจนหมด
ท้าวปักมาหงันนั้นตามรถ กั้นพระกลดหักทองขวางมาข้างท้าย”
นอกจากเป็นวิธีที่ใช้ปัก ‘พระกลด’ ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องสูงแล้ว ยังพบว่าใช้ปักได้กว้างขวางตั้งแต่ ‘อินทรธนู’ หรือเครื่องประดับบ่าแสดงยศ ดังปรากฏในเครื่องทรงของระตูจรกาว่า
“สอดใส่สนับเพลาภูษาทรง ฉลององค์อินทรธนูหักทองขวาง”
สนับเพลาหรือกางเกงของท้าวดาหาตอนกลับจากใช้บนก็เช่นกัน กวีบรรยายว่าหลังสรงน้ำเสร็จก็แต่งองค์ด้วยการ
“ปรุงปนนพคุณหนุนผิวพักตร์ สอดสนับเพลาปักหักทองขวาง”
แม้แต่รองพระบาทของนางคันธมาลีตอนขึ้นเฝ้าก็ไม่ต่างกัน บทละครนอกเรื่อง “คาวี” เล่าถึงนางว่า
“เรียกหาข้าไทอยู่อึงมี่ ใส่เกือกกำมะหยี่หักทองขวาง
ถือพระกลดคันสั้นกั้นกาง เยื้องย่างมาปราสาทพระทรงธรรม์”
เสภาเรื่อง “ขุนช้างขุนแผน” กล่าวถึงเถนขวาดตอนได้เป็นสังฆราชาว่า มีเครื่องยศครบครัน
“ถวายเครื่องยศอย่างสังฆราช ตลกบาตรตาลิปัดพัดย่าม
ล้วนปักหักทองขวางสำอางงาม ขี่เรือม่านคานหามกั้นสัปทน”
ทั้ง ‘ตลกบาตร’ (ถลกบาตร) หรือถุงหุ้มบาตรที่มีสายคล้องบ่า ตาลปัตร พัด และย่าม ‘ล้วนปักหักทองขวาง’ ทั้งสิ้น
ที่พิเศษกว่าเขาเพื่อนเห็นจะเป็น ‘กรองศอ’ หรือสร้อยคอ สร้อยนวม ที่เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องทรงสังคามาระตานั้นมีลวดลายจีน ดังที่บทละครรำเรื่อง “อิเหนา” เล่าว่า
“ฉลององค์ทรงข้าวบิณฑ์แย่งขอ กรองศอหักทองขวางกวางตุ้ง”
วิธีปักหักทองขวางคงเป็นที่นิยมสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เพราะมีกล่าวถึงอยู่ทั่วไปในวรรณคดีสมัยนี้ ใช้ได้ทั่วถึงทั้งฆราวาสและนักบวช •
จ๋าจ๊ะ วรรณคดี | ญาดา อารัมภีร
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022