‘ถาม’ ใน ‘สายลม’ ความหงุดหงิด ความสับสน ของ สุจิตต์ วงษ์เทศ

บทความพิเศษ

 

‘ถาม’ ใน ‘สายลม’

ความหงุดหงิด ความสับสน

ของ สุจิตต์ วงษ์เทศ

 

เบื้องหน้าความจริงที่ “ประวัติศาสตร์ชี้ให้เห็นว่าญวนไม่มีโอกาสหยุดพักการสู้รบเลย แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ทั้งๆ ที่ทุกประเทศเขาหยุดรบกันแล้วและเริ่มสร้างเนื้อสร้างตัว”

เบื้องหน้าคำถามจาก เชิง แก่นแก้ว ที่ว่า “อะไรทำให้ญวนเป็นอย่างนั้น”

“คอมมิวนิสต์” เป็นคำตอบอย่างฉับไว เป็นคำตอบจากสัญชาตญาณและความเคยชิน

นั่นแหละนำไปสู่การเอ่ยชื่อของ “ถั่น” จากปาก “มุกหอม”

“เดี๋ยวก่อน คุณเชิงและคุณทองเบิ้ม ถั่นมาพอดีจะไปชวนเขามาคุยด้วย” นั่นย่อมเป็นข้อเสนอเพื่อความสมบูรณ์และรอบด้าน

รอบด้านจากสถานการณ์นิกสันเยือนเมาเซตุง

รอบด้านจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างโลกเสรีประชาธิปไตยกับโลกคอมมิวนิสต์

“ถั่นเป็นชาวเวียดนามใต้ เป็นผู้หญิงจากเวียดนามใต้มาเรียนรัฐศาสตร์ที่นี่ และเป็นผู้หญิงเวียดนามคนเดียวที่นี่ที่กล้าจะแสดงความเกรี้ยวกราดเพราะความเคียดแค้นในชะตากรรมบ้านเมืองของเขา

แต่ถั่นไม่ใช่คนกระโดกกระเดก เสียงแกน่าสงสารแต่แกมีอารมณ์และมีความรู้สึกต่อชาติบ้านเมืองของแก ผมจะถามให้แกคุยให้คุณฟังว่าแกมีความเห็นอย่างไร” นั่นเป็นคำอธิบายและข้อเสนอจาก เชิง แก่นแก้ว

ต้องฟัง ต้องอ่าน

 

โลก ตะวันตก

โลก คอมมิวนิสต์

เราไม่รู้จักคอมมิวนิสต์ เราไม่มีความรู้สึกชิงชังหรือรักชอบประชาธิปไตย แต่ชาติตะวันตกหรือชาติมหาอำนาจไม่เคยให้เราจัดการเรื่องราวภายในประเทศของเราเองเลย

ทำไมเขาจะต้องมาบงการให้เราต้องเป็นอย่างนั้น ให้เราเป็นอย่างนี้

โฮจิมินห์เดินทางมาขอความเห็นใจจากชาติตะวันตกในสมัยหลังสงครามโลกแต่ชาติตะวันตกเหล่านี้ไม่ยอมที่จะเข้าใจและเห็นใจในเสรีภาพของเวียดนาม

ชาติตะวันตกรับรองเสรีภาพของประเทศเล็กๆ ทางตะวันตกซึ่งเป็นคนผิวขาวได้

แต่ประเทศเล็กอย่างเวียดนามซึ่งเป็นคนผิวเหลืองไม่มีใครสนใจ และโฮจิมินห์ก็ผิดหวังจากการพยายามจะเจรจา

ไม่มีทางเลือก

โฮจิมินห์จำเป็นต้องเข้าปรึกษาทางฝ่ายเมาเซตุงซึ่งพอจะพูดจากันได้ โฮจิมินห์มีแต่ความรักชาติ และเอกราชของเราชาวเวียดนาม

คอมมิวนิสต์หรือไม่คอมมิวนิสต์ไม่ได้เป็นปัญหาสำคัญสำหรับเรา

ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าเราจะทำอย่างไรให้ประชาชนอยู่ดีกินดี มีเสรีภาพที่จะแก้ปัญหาภายในชาติของเราเอง

 

อิสรภาพ เวียดนาม

ในมือ มหาอำนาจ

การลงนามในสนธิสัญญาเจนีวาเพื่อให้จัดการเลือกตั้งทั่วประเทศนั้นพอจะมีแสงสว่างที่ชาติเราจะทำอะไรด้วยตัวเองได้บ้าง

แต่มหาอำนาจอเมริกาก็พยายามหลบเลี่ยงและบิดเบือนข้อเท็จจริงในที่สุด

อเมริกาค้ำประกันรัฐบาลของโงดินเดียมห์ พยายามทุกวิถีทางที่จะไม่ให้มีการเลือกตั้งทั่วไป เพราะความจริงประจักษ์ออกมาว่าคนเวียดนามส่วนมากเลื่อมใสโฮจิ มินห์

และโฮจิมินห์ได้กลายเป็นศัตรูของชาติตะวันตกไปแล้วโดยไม่ได้ตั้งใจและไม่รู้ตัวที่จะเป็น

ฉันไม่ได้เป็นคนเวียดนามใต้และไม่ได้เป็นฝ่ายเวียดนามเหนือ

แต่ฉันเป็นคนเวียดนามที่รู้ว่าใครทุจริต ใครจริงใจแก่ประชาชน

ฉันไม่สนใจว่าประเทศจะเป็นคอมมิวนิสต์หรือประชาธิปไตย ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าคนเวียดนามยังยากจนอยู่เป็นส่วนใหญ่ เราจะขจัดความยากเข็ญอันนั้น เราต้องการจะทำด้วยตัวของเราเองโดยผู้นำที่นำเราจริงๆ ไม่ใช่ผู้นำที่มีอเมริกาหนุนหลังให้สูบเลือดสูบเนื้อประชาชน

แต่ในที่สุดอเมริกาเองก็เป็นคนขจัดโงดินเดียมห์

 

แม้เรื่องนี้จะปกปิดกันเป็นความลับสุดยอดมานาน ที่สุดเรื่องก็เปิดเผยออกมาตามเอกสารลับเพนตากอน

สิ้นยุคนั้นไปแล้วเหลือบฝูงใหม่ก็ทยอยกันออกมาอีกตามแต่อเมริกาจะบัญชา

และในขณะเดียวกันสงครามก็ขยายตัวมากขึ้น อเมริกาบอมบ์เวียดนามเหนือด้วยอารมณ์อันป่าเถื่อน และใช้เล่ห์เหลี่ยมหลอกลวงโลกในสมัยหลัง

ถ้าหากเป็นประเทศไทยคุณจะคิดอย่างไร คุณจะทนอยู่ได้อย่างไร

คุณไม่สามารถเลือกทางเดินของคุณได้เลย ทุกฝีก้าวคุณจะมีคนคอยบงการอยู่เบื้องหลัง และในที่สุดคนที่บงการคุณอยู่นั้นก็บงการคุณต่อไป

ให้คุณฆ่ากันเอง

 

กู่ร้อง ก้องโลก

ปลดปล่อย เวียดนาม

เมื่อไรสงครามอันเลวร้ายนี้จะหมดสิ้นไปเสียที ฉันอยากจะตะโกนให้ก้องโลกว่าอย่ามายุ่งกับประเทศของฉันได้ไหม

เมื่อไรจะปล่อยฉันให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสของเขาเสียที

แต่ฉันรู้ว่าไม่มีวันสำเร็จเพราะเสียงคนอื่นๆ ที่ดังกว่าฉันเขายังไม่สำเร็จเลย ฉันก็ได้แต่ภาวนาและเร่งเรียนหนังสือให้จบเร็วๆ เพื่อจะได้กลับไปบ้าน

ตลอดเวลาที่เรียนหนังสือและทำงานในห้องส่วนตัวฉันได้ยินแต่เสียงปืน ระเบิด เครื่องบินและเสียงร้องครวญครางของผู้คน เสียงขอความช่วยเหลือของชาวนา เสียงระงมของเด็กเล็กๆ ที่ถูกสะเก็ดระเบิด

บางครั้งฉันอยากบ้า แต่ฉันพยายามระงับไว้ว่าจะบ้าไม่ได้ คนเวียดนามทุกคนจะบ้าไม่ได้

 

อารมณ์ เกรี้ยวกราด

ใต้ ความเงียบงัน

มาถึงประโยคสุดท้าย สุจิตต์ วงษ์เทศ บรรยายว่า แล้วน้ำตาของถั่นก็ไหลออกมาเป็นทางยาว แต่เธอก็พยายามจะเช็ดและอดกลั้นเอาไว้

ทุกคนเงียบสนิท

กูเองก็ต้องสลดและยอมรับว่าเกิดความรู้สึกเกรี้ยวกราดต่อการกระทำของชาติตะวันตกที่ทำต่อเวียดนามอย่างนั้น

โกรธตัวเองเหลือเกินที่ไม่รู้เรื่องอย่างนี้มาก่อน

ความโง่เง่าของกูมีมากขนาดนี้ทีเดียวหรือ ตั้งแต่จำความได้ในความคิดของกูมีแต่สีขาวกับสีดำ ถ้าหากไม่ใช่สีขาวก็ต้องเป็นสีดำ และสีขาวจะต้องเป็นฝ่ายถูกต้องบริสุทธิ์ดีงาม สีดำคือความชั่วร้ายระยำ บัดซบ

ประเทศอเมริกาหรือฝรั่งต่างประเทศอื่นๆ เหมือนสีขาวอันเป็นสีแห่งอาภรณ์ของชีปะขาว ถ้าหากตามตำนานหรือนิทานปรัมปรา ชีปะขาวคือผู้บริสุทธิ์ ชีปะขาวคือผู้รังสรรค์วิทยาการใหม่ๆ ซึ่งคนเก่าๆ ไม่สามารถที่จะสร้างได้

สีขาวคือความมีศีลมีธรรม เป็นสีของผู้ทรงไว้ซึ่งศีลาจารวัตร ในความคิดของกูแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีสีเทาหรือสีกลางๆ ที่ควรแก่การพินิจพิจารณา

 

คนไทย เป็นเช่นใด

ประเทศไทย เป็นเช่นนั้น

ตามทฤษฎีคนโบราณสอนไว้ว่า “ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น” หมายถึงพ่อแม่เป็นอย่างไรลูกก็เป็นอย่างนั้น

ทฤษฎีของไทยอีกนั่นแหละว่า “ลูกศิษย์ที่ดีย่อมไม่นอกครู”

เพราะฉะนั้น ศิษย์ที่ดีเป็นอย่างไรครูก็เป็นอย่างนั้น และถ้าหากจะปรับทฤษฎีเหล่านี้เข้ากับรัฐบาล “ประชาชนฉันใด รัฐบาลก็ฉันนั้น” หรือเปล่า

กูไม่เชื่อว่าคนอย่างกูจะมีมากในประเทศไทย เพราะคนไทยไม่ใช่คนโง่ คนไทยจะต้องรู้อะไรถูก อะไรผิด อะไรจริง อะไรไม่จริง กูต่างหากที่โง่ พ่อแม่กู ครูบาอาจารย์กู ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่คนโง่ แต่ทำไมคนอย่างกูถึงโง่

คนรุ่นกูนี้จึงโง่เง่าเป็นเต่ากลางนา

ทฤษฎีโบราณกล่าวไว้อีกอย่างหนึ่งว่า “สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น” ต่อไปอย่าทะลึ่งว่า “สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ” ตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้าใน “กาลามสูตร” ที่ว่า “อย่าเชื่อใครจนกว่าจะพิสูจน์ด้วยตนเอง”

แม้พระธรรมของพระพุทธเจ้าก็มิทรงให้เชื่อถือโดยมิได้พิจารณาไตร่ตรองเสียก่อน

เอ๊ะ! จริงหรือเปล่าหนอ

 

คำถาม ไม่มีคำตอบ

ในความ โง่ เง่า เต่า ตุ่น

ในความรับรู้ของ สุจิตต์ วงษ์เทศ อาจนึกถึงวรรคทองของ วิทยากร เชียงกูล ที่ว่า ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง ฉันจึง มาหา ความหมาย

เมื่อมองหา “ความหมาย” ก็บังเกิด “หงุดหงิด”

เป็นความหงุดหงิดในท่ามกลางการแสวงหาอันสับสนอย่างที่ สุทธิชัย หยุ่น สรุปอย่างรวบรัด

“ความหงุดหงิด” จึงกลายเป็น “โรคระบาด”

ดำรงอยู่เหมือนกับ “คำถาม” ที่ยังไม่สามารถแสวงหา “คำตอบ” เป็นที่ถูกใจได้อย่างแท้จริง

จึงกลายเป็นสภาวะแห่งโง่ เง่า เต่า ตุ่น