ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 26 มกราคม - 1 กุมภาพันธ์ 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | สิ่งแวดล้อม |
ผู้เขียน | ทวีศักดิ์ บุตรตัน |
เผยแพร่ |
สํานักข่าวเอพีนำเสนอเรื่องราวของเมืองลาฮอร์ อยู่ในแคว้นปัญจาบของปากีสถานซึ่งเผชิญวิกฤตมลพิษในอากาศ และปัญหาลุกลามไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ติดๆ กันทั้งอินเดียและบังกลาเทศ แต่ความขัดแย้งระหว่างประเทศทำให้วิกฤตนี้ยืดเยื้อเรื้อรัง
“ลาฮอร์เป็นเมืองที่มีสวนสวยๆ สร้างมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์โมกุล วันนี้กลับกลายเป็นเมืองที่มีกลิ่นเหม็นไหม้ คุณภาพอากาศที่ย่ำแย่” เอพีเกริ่นนำ
หมอกควันพิษทําให้ชาวเมืองลาฮอร์หลายหมื่นคนป่วยในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา และทัศนวิสัยเลวร้าย สายการบินยกเลิกเที่ยวบิน
เมื่อปลายปีที่แล้ว รัฐบาลสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จัดหาเครื่องบิน 2 ลำพร้อมทีมทำฝนเทียม ไปช่วยแก้ปัญหาควันพิษในแคว้นปัญจาบ นับเป็นครั้งแรกที่ใช้ฝนเทียมแก้ปัญหาฝุ่นพิษในพื้นที่เอเชียใต้
เครื่องบินของยูเออีพ่นสารทำฝนเทียมประกอบด้วยซิลเวอร์ไอโอได โพแทสเซียม ไอโอไดและน้ำแข็งแห้งไปโปรยเหนือเมฆทำให้เกิดการควบแน่นและตกลงมาเป็นฝนเทียมในเมืองลาฮอร์ 10 แห่ง
แต่การทำฝนเทียมแก้ปัญหาได้แค่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว เมื่อฝนเทียมหมด ฝุ่นก็กลับมาอาละวาดเมืองลาฮอร์อีก
ผู้บริหารเมืองลาฮอร์พยายามหาทางออกอื่นๆ ในการแก้ปัญหาฝุ่นพิษ เช่น ฉีดน้ำบนถนน ออกมาตรการปิดโรงเรียนช่วงที่มีคุณภาพอากาศเลวร้ายเสี่ยงต่อสุขภาพ
แต่ไม่ได้ผลเท่าไหร่
มลพิษในอากาศที่ปกคลุมเมืองลาฮอร์มาจากแหล่งโรงงานอุตสาหกรรม มีทั้งโรงงานทอผ้า โรงเหล็ก โรงยาง และประชากรเฉียดๆ 10 ล้านคน อีกทั้งกระแสลมในพื้นที่มีส่วนสำคัญพัดเอาฝุ่นควันพิษไปถึงกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดียเป็นเพื่อนบ้านตั้งอยู่ติดกัน
ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิอากาศ เรียกร้องให้ปากีสถาน บังกลาเทศและอินเดียร่วมมือแก้ไขวิกฤตการณ์นี้แต่เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียและปากีสถาน หักสะบั้นลงจนกระทั่งเกิดสงครามสู้รบถึง 3 ครั้ง ต่างฝ่ายต่างสร้างกองทัพแข่งกัน รวมถึงพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ไว้ข่มอีกฝ่ายจึงมองไม่เห็นหนทางว่าจะร่วมมือแก้วิกฤตทางอากาศได้อย่างไร
“เอบิด ชูเลอร์รี่” ผู้เชี่ยวชาญของสถาบันนโยบายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ไม่แสวงหากําไร แห่งปากีสถาน ชี้ว่า มลพิษทางอากาศนั้นเดินทางข้ามพรมแดนโดยไม่ต้องใช้วีซ่า ฉะนั้น การเจรจาเพื่อร่วมมือแก้มลพิษเป็นเรื่องที่อินเดีย ปากีสถานต้องทำ เพราะได้รับผลกระทบเหมือนๆ กัน
ปีนี้อินเดียและปากีสถาน กำลังจะมีเลือกตั้งครั้งใหม่ คนในซีกปากีสถานที่นำเสนอปัญหามลพิษทางอากาศและคิดหาทางแก้ก็มีเพียงนายบิลาวัล บุตโต ซาร์ดาริ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ ประธานพรรคประชาชนปากีสถาน
“บิลาวัล บุตโต ซาร์ดาริ” บุตรชายของ “เบนาซีร์ บุตโต” อดีตนายกฯ ปากีสถาน ประกาศจะแก้ปัญหาโลกร้อน หลังเกิดเหตุน้ำท่วมใหญ่ในแคว้นปัญจาบมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,700 คนเมื่อเดือนสิงหาคม 2565
เป็นที่รู้กันว่าเหตุเกิดน้ำท่วมใหญ่ในแคว้นปัญจาบเกิดจากฝนตกหนักติดต่อกันเป็นหลายอาทิตย์ ทำให้แม่น้ำสตลุช (Sutlej) เอ่อล้นทะลักท่วมกินบริเวณกว้างถึง 4 กิโลเมตร ทางการต้องอพยพประชาชนกว่า 1 แสนคนออกจากพื้นที่
หลังเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว ชาวแคว้นปัญจาบยังคงประสบปัญหาอย่างต่อเนื่อง ผู้คนอดหยากหิวโหย เด็กๆ ไม่ได้เข้าเรียนหนังสือ เชื้อโรคมาลาเรีย เชื้อไวรัสเดงกี่ อวิวาห์ตกโรคแพร่ระบาด
“ซาร์ดาริ” มองว่าปากีสถานกลายเป็นศูนย์กลางของวิกฤตโลกร้อนไปแล้ว และมีสัญญาณร้ายๆ หลายอย่างปรากฏขึ้น เช่น ธารน้ำแข็งบนยอดเขาหิมาลัยละลายเพราะสภาพอากาศที่ร้อนจัด
พื้นที่ทางภาคใต้ของปากีสถานกำลังจะเป็นทะเลทรายเนื่องจากทำลายพื้นที่ป่า ฉะนั้น ปากีสถานจึงต้องลงทุนเพื่อรับมือกับปัญหาความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
ส่วนพรรคการเมืองในอินเดีย หลายพรรคหยิบยกประเด็นโลกร้อนมาพูดในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง และรัฐบาลของนายนเรนทรา โมดี ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหามลพิษในอากาศ มีการตั้งเป้าแก้ปัญหาเมืองที่มีมลพิษปนเปื้อน 102 แห่ง ให้กลับมาเป็นเมืองสะอาด ภายใต้กฎหมายว่าด้วยอากาศสะอาดแห่งชาติ
ธนาคารโลกได้เสนอแนะเรื่องนโยบายการจัดการกับมลพิษทางอากาศระดับภูมิภาคว่า ประเทศต่างๆ ต้องตกลงกันว่าจะกําหนดเป้าหมายและมาตรการคุณภาพอากาศร่วมกันอย่างไร และต้องร่วมประชุมนเป็นประจําเพื่อแบ่งปันแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ถ้าเป็นไปได้ควรกําหนดมาตรฐานคุณภาพอากาศร่วมกัน
ธนาคารโลกชี้ว่า เกือบ 93% ของชาวปากีสถานได้รับผลกระทบจากมลพิษที่รุนแรง และอินเดียมีประชากร 96% ได้รับผลกระทบดังกล่าวเช่นกัน
ประมาณว่า ประชากรทั้งอินเดียและปากีสถานีราวๆ 1,500 ล้านคนต้องเผชิญกับมลพิษทางอากาศที่มีความเข้มข้นสูง
เฉพาะแคว้นปัญจาบ มีผู้เสียชีวิตปีละประมาณ 220,000 คนจากสาเหตุที่เกี่ยวโยงกับมลพิษในอากาศ
เมืองลาฮอร์ในแต่ละวัน มีรถยนต์ มอเตอร์ไซค์วิ่งไปมารวมๆ กันแล้วราว 6.7 ล้านคัน มีโรงงานอุตสาหกรรมพ่นควันโขมง ทำให้เกิดฝุ่น หมอกควันปกคลุมท้องฟ้า หลังคาบ้านเรือน มัสยิด โรงเรียน ท้องไร่ท้องนา จนแทบมองอะไรไม่เห็นในระยะไกลๆ
เว็บไซต์ช้อปปิ้งของปากีสถานรายงานว่า ตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้วชาวแคว้นปัญจาบคลิกหาซื้อเครื่องฟอกอากาศและหน้ากากอนามัยเพิ่มขึ้นอย่างมาก
“คาวาร์ อับบอส ชอดรี” แพทย์ผู้เชี่ยวชาญระบบทางเดินหายใจ เล่าถึงเมืองลาฮอร์ว่า ครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองสวยงาม แต่ฤดูหนาวปีนี้ มีผู้ป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจเพิ่มขึ้นถึง 100 เปอร์เซ็นต์
สาเหตุที่ผู้ป่วยเพิ่มเป็นเพราะมลพิษในอากาศ
แพทย์ผู้นี้ย้ำว่า ประเทศ รัฐบาลและหน่วยงานต่างๆ ต้องมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา
“ไซเอ็ด นาซีม อูร์ เรห์ มาน ซาห์” ผู้อํานวยการแผนกคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของแคว้นปัญจาบ เล่าถึงความภูมิใจในความสําเร็จจากการต่อสู้กับปัญหามลพิษทางอากาศว่า โรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยมลพิษสู่อากาศและเตาเผาอิฐจะถูกทางการควบคุมเข้มข้น ชาวนาชาวไร่จะได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลเพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่ช่วยให้การเผาตอซังพืชลดลง และบรรดาผู้ขับขี่รถตุ๊กตุ๊ก มอเตอร์ไซค์ รถบัสโดยสาร จะดีใจกับโครงการจัดหารถไฟฟ้า
“ซาห์” เคยไปอินเดียเพื่อหารือเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กับองค์กรระดับภูมิภาค สมาคมเอเชียใต้เพื่อหาความร่วมมือระดับภูมิภาค เปิดโอกาสให้ประเทศต่างๆ พูดคุยเกี่ยวกับมลพิษทางอากาศ แต่ยอมรับว่าไม่มีความร่วมมืออย่างเป็นทางการในระดับรัฐมนตรีกับอินเดีย
“ซาห์” โชว์หน้าจอในห้องตรวจสอบหมอกควันให้นักข่าวเอพีดูว่าดัชนีคุณภาพอากาศของปากีสถานต่ำกว่าจีน
“ประติมา สิงห์” นักวิทยาศาสตร์ของศูนย์การศึกษาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ซึ่งค้นคว้าเกี่ยวกับมลพิษทางอากาศในอินเดียมานานกว่าทศวรรษ เล่าว่าประเทศในเอเชียใต้สามารถจำลองรูปแบบการทํางานร่วมกันของสหภาพยุโรปเพื่อจัดการกับความท้าทายด้านมลพิษ สร้างนโยบายใหม่ๆ แบ่งปันข้อมูลและค้นหาหนทางปฏิบัติที่ดีที่สุด
หันมาดูสถานการณ์ฝุ่นพิษในบ้านเราวันนี้ยังคงเป็นปัญหาเรื้อรัง รัฐบาลชุดที่ผ่านๆ มาออกมาตรการคุมเข้มการปล่อยควันพิษสารพัด ตั้งโต๊ะเจรจากับประเทศเพื่อนบ้าน แต่ไม่เกิดผลสำเร็จ ถึงหน้าหนาวปัญหาก็วนกลับมาหลอกหลอนคนไทยซ้ำแล้วซ้ำเล่า
คราวนี้ถึงคิวรัฐบาล “เศรษฐา ทวีสิน” โชว์ฝีมือจัดการกับหมอกควันฝุ่นพิษ ถ้าให้ประเมินเบื้องต้นจากการทำงานของรัฐบาลที่แสดงความขึงขังเอาจริงกับการใช้มาตรการเข้มข้นเพื่อลดปริมาณฝุ่นพิษ เช่น รณรงค์หยุดเผาป่า หยุดเผาซังข้าวโพด อ้อย ตรวจจับรถควันดำ ติดตามดูโรงงานอุตสาหกรรมปล่อยเขม่าควันพิษ
หรือความพยายามผลักดันร่างกฎหมายอากาศสะอาดผ่านสภาซึ่ง ส.ส.ลงมติเอกฉันท์ในวาระแรกไปแล้ว ขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญ
ร่างกฎหมายฉบับนี้ถ้าผ่านสภาและมีผลบังคับใช้แล้ว น่าจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ปัญหาฝุ่นพิษ เพราะมีบทลงโทษมือเผาป่า ทั้งจำคุกทั้งปรับเพิ่ม มีกลไกภาษี ส่งเสริมการลงทุน และครอบคลุมไปถึงการเรียกร้องค่าใช้จ่ายจากผู้ก่อมลพิษข้ามพรมแดน
เมื่อต้นเดือนนี้ คุณเศรษฐาโทรศัพท์ไปคุยกับ “ฮุน มาเนต” นายกฯ กัมพูชา เพื่อหารือตั้งคณะทำงานแก้ปัญหาฝุ่นพิษข้ามพรมแดน
ผมเห็นว่า รัฐบาลทำได้ดีพอใช้ แต่มาตรวัดความสำเร็จของการแก้ปัญหาฝุ่นพิษนั้นอยู่ที่เกณฑ์มาตรฐานคุณภาพอากาศ หรือ AQI (Air Quality Index)
ถ้า AQI ในพื้นที่ทั่วประเทศปีนี้ดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ นั่นแหละจึงจะบอกได้ว่ารัฐบาล “เศรษฐา” แก้ปัญหาฝุ่นพิษดีเยี่ยม •
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022